• Home
  • Special Report
  • ย้อนดูแนวทาง “กู้ทีม” ของ “เนวิน” เมื่อ “บุรีรัมย์” ว่าวแชมป์ลีก

ย้อนดูแนวทาง “กู้ทีม” ของ “เนวิน” เมื่อ “บุรีรัมย์” ว่าวแชมป์ลีก

By on October 31, 2019 0 2899 Views

DST.News : หากพูดถึงความสำเร็จในไทยลีก สโมสรแรกที่แฟนบอลแทบจะทุกคนนึกถึงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”

นับแต่ปี 2554 ที่สโมสรการไฟฟ้า เปลี่ยนมาใช้ชื่อเป็นสโมสร “บุรีรัมย์ พีอีเอ” ก่อนจะรวมทีมกับ “บุรีรัมย์ เอฟซี” พร้อมขายหุ้นการไฟฟ้าออกไปเพื่อ เปลี่ยนโฉมมาเป็น “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” อย่างเต็มตัว

พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ไทยลีกได้เป็นสมัยแรก ในนาม “บุรีรัมย์ พีอีเอ” ในปี 2554 และจนถึงฤดูกาลล่าสุด มีเพียง 3 ครั้งเท่านั้น

ที่ทำเนียบแชมป์ไม่มีชื่อ ทีมดังจากเมืองปราสาทหิน จารึกในนั้น

กับฤดูกาล2019 พวกเขาโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง

เพราะเงื่อนไข ที่ “ชนะเท่านั้น” โดยไม่ต้องสนเกมคู่อื่น

หรือ หนึ่งในเกมที่ยากที่สุดก่อนเกมสุดท้าย ที่พวกเขาต้องเปิดบ้านรับ “การท่าเรือ เอฟซี” หลายๆปัจจัยก็เกื้อหนุนพวกเขาอย่างที่สุด

แต่สุดท้ายเมื่อทำไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับ และหาทางพัฒนากันต่อ แต่เรื่องนี้คงจะยอมรับได้ยากสักหน่อย เมื่อเจ้าของทีมแชมป์ไทยลีก 6 สมัยนั้น มีชื่อว่า “เนวิน ชิดชอบ”

วาทกรรม “ไม่ขอรับถ้วยนอกบ้าน” คงจะโดนล้อไปอีกหลายปี

เช่นเดียวกับ ประวัติศาสตร์การคว้าแชมป์ไทยลีก สมัยแรกของ “กว่างโซ้งมหาภัย” ทั้งที่ตอนเริ่มฤดูกาล ไม่มีใครยกเลยที่ยกให้ “สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด” จะอยู่อันดับ 1 เมื่อฤดูกาลจบลง ซึ่งสิ่งที่สามารถบอกภาพรวมได้ดีที่สุด คือ “สีหน้าของลุงเน” ในช่วงท้ายเกมที่โดนเชียงใหม่ เอฟซี ตีเสมอ

กับ “ปรากฎการณ์ ว่าวแชมป์ลีก” ท่ีเกิดขึ้น ลองย้อนมาดูกันว่า อะไรเกิดขึ้นบ้าง

ฤดูกาล 2554 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ไทยลีกภายใต้ชื่อสโมสร “บุรีรัมย์ พีอีเอ”(ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยูไนเต็ดภาย) เป็นครั้งแรก ฤดูกาล 2555 พวกเขาเสียแชมป์ให้กับเมืองทอง ยูไนเต็ด

โดยฤดูกาลนั้น ภายใต้การคุมบังเหียนของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม ปูชณีย์บุคคลของวงการฟุตบอลไทยผู้ล่วงลับ พวกเขาทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามเป้า เมื่อ มีแต้มตามหลังแชมป์อย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ถึง 30 คะแนน

แม้ตัวเก่งอย่าง “แฟรงค์ อาเชียมปง” จะยังเล่นอยู่กับทีม แต่ก็ไม่สามารถพาทีมถึงเป้าหมายได้ โดยฤดูกาลนั้น พวกเขาออกเสมอซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน่าเจ็บใจนัก เมื่อพวกเขาสามารถ คว้าทั้งแชมป์ ลีก คัพ และ เอฟเอ คัพไปได้ในปีดังกล่าว

สแปนนิช ค็อนเน็คชั่น

ปีต่อมาพวกเขานำเข้าอาวุธหนักจากประเทศสเปน มาเป็นกระดูกสันหลังของทีม ทั้ง “ออสมาร์ อิบานเญซ” โคตรเซนเตอร์ จาก ราซิง ซานตาเดร์,“คาร์เมโล กอนซาเลส” กองกลางประสบการณ์สูง จาก สปอร์ติ้ง กิฆอน, “ฆาเบียร์ ปาตินโญ่” กองหน้าทีมชาติฟิลิปินส์ ที่เล่นให้กับ “คอร์โดบาร์ ซีเอฟ” ในสเปนเช่นกัน

ยังไม่รวมกับบรดาแข้งไทยตัวจี๊ดคนอื่นๆ อย่าง ชาริล ชัปปุยส์ อนาวิล จูจีน หรือ สุรีย์ สุขะ พร้อมเปลี่ยนหัวเรือใหญ่จาก “โค้ชแต๊ก” มาเป็น “อาเลฮันโดร เมเนนเดส”โค้ชชาวสเปน ที่ “ลุงเน” หมายมั่นปั้นมือว่าจะอาศัย “สแปนิช ค็อนเนคชั่น” กำราบไทยลีกให้อยู่หมัด

และแน่นอนว่า ผลเป็นไปดังที่คาดหมาย เมื่อพวกเขาจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์ พ่วงด้วยสถิติ “ไร้พ่าย” โดยแบ่งเป็นชนะ 25 และเสมออีก 9 จากนั้นพวกเขาครองบัลลังค์แชมป์มาอีก 3 ปี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในทีมเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง

จนสะดุดอีกครั้งในฤดูกาล 2559 และทีมที่ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เมื่อ “เมืองทอง ยูไนเต็ด” ทีมคู่รักคู่แค้นเจ้าเก่า ซึ่งฤดูกาลนั้น พวกเขาผิดฟอร์ไม่น้อย เมื่อ เก็บได้เพียง 55 คะแนน จาก 30 นัดที่ลงเล่น(ลงเล่นไม่ครบเพราะไทยลีกยกเลิกการแข่งขันนัดที่เหลือ จากเหตุการณ์ สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)

สาเหตุหลักคือ เกมรุกของพวกเขาค่อนข้างมีปัญหา เมื่อ “เดอะแบก” ของทีมอย่างดิเอโก หลุยส์ ซานโต ดันเจ็บยาว จนไม่สามารถช่วยทีมให้ถึงฝันได้ รวมทั้งปล่อยกำแพลงเหล็กทีมชาติเวเนซูเอลา อย่าง อันเดร ตูเนซ กลับไปเล่นกับในสเปนแบบยืมตัว กับ “เอลเช่”

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลไม่ต้องรอความสำเร็จนานนัก เมื่อฤดูกาล 2560 แคมเปญจ์ “สไตรค์แบ็ค” ถูกนำมาใช้พร้อมกับ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต หายเจ็บกลับมาเป็นแกนหลัก เช่นเดียวกับ อันเดร ตูเนซกลับมาจากการยืมตัวจากสเปน นอกจากนี้ “ลุงเน” ยังฉาบปูนอีกชั้น

เมื่อ ดึงตา “ญาญ่า โคเอลโญ่” ดาวยิงบราซิลเลียนร่างยักษ์ มาจากสโมสร “โลเคอเรน” ในเบลเยี่ยม แม้จะต้องแรกกับค่าเหนื่อมหาศาล แต่จำนวน 34 ประตูในลีกก็นับว่าตอบแทนได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย(รึเปล่า?)

เมื่อรวมกับ อีก 26 ประตู ของคนดีคนเดิมอย่าง “ดิโอโก” รวมเป็น 60 ประตู จาก 85 ประตูที่ทีมทำได้ในลีก คิดเป้นกว่าร้อยละ 70 จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเข้าวินแบบม้วนเดียวจบ

จากนั้นพวกเขาคว้าแชมป์อีกปี ก่อนที่ “ดิโอโก” จะย้ายออกไป หาความท้าทายใหม่ในมาเลเซีย กับ “ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม”

ส่วน “ญาญ่า” เลือกย้ายไปอยู่กับเมืองทองหลังจบฤดูกาล 2560 ซึ่งนับจากนั้น แม้จะยังรักษามาตรฐานการเล่นได้ แต่ก็ไม่เปรี้ยงปร้างเท่ากับตอนอยู่กับ “ปราสาทสายฟ้า” แม้จะย้ายออก

ก่อนที่พวกเขาจะมาสะดุดอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกับปัญหาใหญ่ที่ดิโอโกทิ้งไว้ คือ “นักเตะต่างชาติ” ของทีมไม่สามารถช่วยเปลี่ยนเกมได้ แบบที่ คนดีคนเดิมของพวกเขาเคยทำ

เชื่อนขนมกินด้เลยว่า ยี่ห้อ “เนวิน ชิดชอบ” ย่อมไม่ปล่อยให้แฟนๆรอคอยนาน ฤดูกาลหน้าเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไล่ตั้งแต่โควตาต่างชาติ และมีแนวโน้มสูงว่า โค้ชอย่าง “โบซิดาร์ บันดาวิซ” เองก็ไม่น่าจะรอดสันดอน เช่นกัน

และมันยิ่งน่าตื่นเต้นสุดๆ ขนาดที่ว่า แนวรุกที่นำมาเสริมช่วงกลางฤดูกาล คนหนึงยังมีดีกรี เป็นเด็กปั้นอาร์เซน่อล และเคย เล่นกับโมนาโก ขณะที่อีกคนนั้น เคยเล่นกับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในทีมชาติสวีเดนมาแล้ว

หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ตัวใหม่ที่เข้ามาก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะมีดีกรียิ่งกว่าตัวผู้เล่นที่มี

รับรองเลยว่า ไทยลีกปีหน้าจะสนุกกว่าปีนี้อีกแน่นอน เมื่อ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” กลับสู่ “โหมดไล่ล่าความสำเร็จ” อีกครั้ง.

________

ขอบคุณภาพ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
By ใบไม้ห้าแฉก

ติดตามช่องทางข่าวสาร-เสนอแนะ ติชม และร่วมกิจกรรมสนุกๆ กับเราได้ที่…​
Fb : www.facebook.com/dailysoccerthailand
Twitter : dailysoccer2017
IG : dailysoccerthailand
Line : @dailysoccerth
Website : http://dailysoccer.in.th

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *