ผ่ามุมมอง15ประตู “เจ้าบี-ธนากรณ์” ดาวซัลโวT2 คือ ความสำเร็จ ที่ยังไม่สำเร็จ
DST.Exclusive : แม้ “สุภาพบุรุษวงจักร” อาร์มี่ ยูไนเต็ด จะจอดป้าย สุดท้ายฤดูกาล 2019 ที่ลีกพระรอง ไม่ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดตามเป้าหมาย
แม้จะเหลืออีก 2 นัด แต่เมื่อดูแต้มในตอนนี้ โอกาสของพวกเขามาไกลได้แค่นี้
แต่การแพลงฤทธิ์เดชของ ยอดสุภาพบุรุษฯ ที่ก่อนเกมฤดูกาลนี้จะปิดฉาก ด้วยการฟาดไป 54 ประตู ซึ่งผู้ที่ทำประตูให้ทีมได้สูงสุด
คือ กองหน้าที่ชื่อ ธนากรณ์ แดงทอง ที่ซัลโวไป 15 ประตู (ณ ตอนนี้ — ยังไม่รวม 2 เกมที่เหลือของฤดูกาล)
และขึ้นแท่น เป็น “ผู้ทำประตูสูงสุดในไทยลีก2 ฝั่งนักเตะสัญชาติไทย”
แม้การยืนตำแหน่งกองหน้า ในไทยลีก ไม่ว่าระดับใด จะเป็นงานหิน เพราะต้องประชันและแข่งขันกับ “ผู้เล่นต่างชาติ”
แต่ “ซุปเปอร์บี” พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่า จากจุดเริ่มต้นของ “นักกีฬาโรงเรียนวัด” ผู้ไม่มีความทะเยอทะยานในวงการนี้ แต่เมื่อได้รับโอกาส เขาพร้อมทำเต็มที่ และฝ่าทุกอุปสรรคเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมาย
“ผมเป็นคนลพบุรี เรียนที่โรงเรียนซับจำปา จ.ลพบุรี เริ่มต้นเล่นฟุตบอลคงเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไป ที่พักเที่ยง เอาบอลไปเตะเล่นกันกับรุ่นพี่ กับเพื่อน เล่นแบบไม่มีพื้นฐานอะไร หากจะถูกสอนมากสุดคือ ในวิชาพละของโรงเรียนเท่านั้น”เจ้าบี ย้อนความวัยเด็ก
ความฝันในวัยเด็ก ที่อยากเล่นฟุตบอล เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกๆ กับหมู่เพื่อน ไม่ฝันว่าต้องไปติดทีมชาติ หรือ เป็นนักเตะอาชีพ
แต่ความไม่คิด ไม่ฝัน เมื่อถูกผลักดันจาก “ครูพละ” ที่โรงเรียน แนะนำให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนกีฬาอ่างทอง เพราะเห็นแววของเด็กคนนี้ ว่า “ไปรุ่ง” ในวงการฟุตบอลได้แน่
ทำให้ ผลลัพท์ที่ได้ คือ ใบเบิกทางให้เขาเข้าสู่ วงจร “ของจริง” บอลไทย
“ผมติดทีมชาติ เมื่อตอนเรียนที่โรงเรียนกีฬาอ่างทองทั้งชุดนักเรียนไทย ตอน 15 ปี , ทีมชาติชุด ยู14 และ ยู 17 ปี ตอนที่ถูกเรียกไปคัดตอนแรก อายุ 14 ปี มีนักเรียนที่คัดมาจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนสอนฟุตบอลดังๆ รุ่นที่ไปคัดตอนนั้นมีทั้ง อุ้ม-ธีราธร บุญมาทัน, ตอง – กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ รวมด้วย ผมทั้งตื่นเต้น ตกใจ และกังวลว่า ฝีเท้าเราจะสู้เขาได้หรือ เพราะเราเหมือนเป็นนักบอลที่เตะบอลเล่นไปวันๆ ส่วนคนอื่นเขาคือ นักบอลแถวหน้า แต่พอคัดติด มีชื่อ ผมปรับมุมคิด คือ พยายามพัฒนาตัวเองให้ได้เท่าเขาให้ได้ ให้เพื่อนยอมรับให้ได้”
ประสบการณ์บนสนามทีมชาติยุคนั้น “เจ้าบี” ในตำแหน่งกองหน้า ยอมรับว่าอยู่ในภาวะวิตก เครียด และกดดัน เพราะจุดเริ่มต้นของเขาในโลกฟุตบอล คือ ความสนุก แต่เมื่อต้องแบกความหวังฐานะตัวแทนทีมชาติไทยไปด้วย
ทำให้เขาพลิกภาวะจมดิ่งให้เป็นแรงผลักดัน เพื่อเป้าหมาย และสิ่งสำคัญคือ อยากให้คนที่คอยมองเห็นว่า แม้เขามาจากโรงเรียนบ้านนอก แต่เมื่อมีโอกาสพร้อมจะลุยและพยายามทำให้ได้ ไม่แพ้ใคร
จากแววทีมชาติ ที่ถูกฉาย หลังจบ ม.4 “เจ้าบี” ถูกดึงตัวให้ไปเรียนที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ ที่สอนฟุตบอลจริงจัง ที่จ.ชลบุรี ทำให้ “พรสวรรค์” ของเขาถูกดันให้เข้าระบบและเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
รวมถึงมีสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ คือ ระเบียบวินัย ขยันฝึกซ้อม หากอยากพัฒนาฝีเท้าให้พัฒนากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ขณะที่เส้นทาง “อาชีพนักฟุตบอล” แน่นอนว่า “สโมสรอาร์มี่ ยูไนเต็ด” หรือชื่อเก่า “สโมสรฟุตบอลทหารบก” คือทีมปั้นของเขาตั้งแต่เรียนจบ ม. 6 หรือ เมื่อปี 2010
แม้จะมีช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ถูกส่งตัวให้ทีม “ทีโอที” ยืมไปใช้งาน แต่เมื่อหมดสัญญายืมตัว “อาร์มี่ฯ” คือสโมสรที่เขาหวนกลับ และไม่คิดจะย้ายไปไหน
รวมเวลาที่เขาอยู่กับสโมสรแห่งนี้เกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว
แน่นอนว่า “สโมสรอาร์มี่ฯ” ไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดของไทยลีก เพราะบางปีผลงานไม่เข้าตา ร่วงตกชั้นก็เคยมี
“ช่วงที่สโมสรตกชั้น เป็นช่วงที่ทีมสับสนมาก ว่าใครจะมาทำต่อ ทีมจะยุบไหม หลายๆ อย่างตอนนั้นมีคนยื่นข้อเสนอให้ผมเหมือนกัน แต่ท้ายสุดคำตอบผมคือ ผมรักอาร์มี่ ที่นี่คือครอบครัวของผม”
กับผลงานของปีนี้ ที่ยังเหลืออีก 2 เกม “ซุปเปอร์บี” วางเป้าหมายคือ ทำให้ดีที่สุด แม้โอกาสเลื่อนชั้นจะอยู่ห่างไกล แต่ยังมีสถิติที่เขาอยากจารึก คือ ทำลายสถิติการทำประตูของตัวเอง ให้ได้มากที่สุด กว่าที่เคยทำ
เป้าหมายเขาคือ 17 ประตู (ตอนนี้ทำไปแล้ว 15 ประตู)
อีกแค่ 2 ประตูไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ทัศนะของเขาบอกว่ายังมีด่านหินที่รอการพิสูจน์
“นักเตะคนไทย ที่แม้ตำแหน่งกองหน้า เหมือนยิงไม่ค่อยเยอะ เพราะกองหน้าของหลายทีมเลือกใช้ คือ นักเตะต่างชาติ ดังนั้นผมถือว่าเป็นตัวแทนนักเตะไทยเลยก็ว่าได้ ที่พอจะสู้กับต่างชาติได้ ผมพยายามจะทำให้ได้ แต่ติดอย่างเดียวคือ ทำให้ทีมประสบความสำเร็จไมไ่ด้ แต่ยังไงผมขอขอบคุณแฟนบอลอาร์มี่ ที่ไม่ว่าทีมจะเป็นอย่างไรยังตามเชียร์กันในทุกเกมแข่งขัน”
ขณะที่เคล็ดลับการซ้อมที่ “กองหน้าอาร์มี่” อยากบอกต่อ คือ นอกจากซ้อมยิงประตูให้บ่อยๆ คือ การศึกษาเกมฟุตบอลและรูปแบบจากกองหน้าระดับโลก
“ผมชอบดูบอลพรีเมียร์ลีก และลาลีกา ชอบดูสัญชาตญาณของกองหน้าเขา การเอาตัวรอด สิ่งที่ผมได้ คือ การทำประตู แม้บอลไม่อยู่กับตัว คือฝากเพื่อน ชิ่งไปยิง ผมว่ากองหน้ากับสัญชาตญาณเพชรฆาตนี่สำคัญมาก ส่วนมากที่หลายคนทำ คือ เลี้ยงบอล เอาชนะตัวต่อตัว แต่ฟุตบอลสมัยนี้เลี้ยงกินตัว หลบคู่แข่ง 3-4 คนเป็นเรื่องยาก หากไม่ใช่ เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ คงทำไม่ได้ ดังนั้นต้องมีเทคนิคอื่นเสริมมา”
กับมุมมองส่วนตัวของการเป็นกองหน้าที่ดี “เจ้าบี ในวัย29ปี” บอกว่า คือการดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ และสิ่งสำคัญเมื่อลงสนาม การยิงประตูได้ของกองหน้านั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม และทำให้ทีมชนะ ซึ่งเขาเชื่อว่านี่คือ ความสำเร็จที่สุดของการยืนตำแหน่งกองหน้า
ทิ้งท้ายกันนิด…ก่อนที่ “ซุปเปอร์บี” จะหันมาเอาดีด้านฟุตบอลในวัยเด็ก ก่อนหน้านั้น พ่อเขาเคยอยากให้ลูกเป็น “นักมวยอาชีพ” พาไปเข้าคอส พาไปหัดต่อยมวย
แต่ เมื่อใจไม่ได้มาทางนี้ ทำให้เขาเดินไปบอกพ่อว่า ไม่เอามวย แต่จะเอาดีด้านฟุตบอลแทน
ตอนนั้นคำตอบที่ได้จากพ่อ คือ ตามใจลูกชาย และคอยสนับสนุนในทุกโอกาส.
__________________
ขอบคุณภาพ สโมสรฟุตบอล อาร์มี่ ยูไนเต็ด
By BlackSugar
ติดตามช่องทางข่าวสาร-เสนอแนะ ติชม และร่วมกิจกรรมสนุกๆ กับเราได้ที่…
Fb : www.facebook.com/dailysoccerthailand
Twitter : dailysoccer2017
IG : dailysoccerthailand
Line : @dailysoccerth
Website : http://dailysoccer.in.th