โอกาสดี “ไม่รอ” อยากได้ ต้อง “วิ่งใส่” ฟุตบอล สไตล์ “น๊อต-ศิวรุต” เด็กปั้นค้างคาวไฟ
DST.Exclusive : แม้ผลงานของทีม “ค้างคาวไฟ” สุโขทัย เอฟซี ณ เวลานี้ต้องลุ้นจนนัดสุดท้าย ว่า จะฝ่าชะตากรรม “ตกชั้น” ไปได้อีกฤดูกาลหรือไม่
แต่ภายใต้ความพยายาม “หนีห่าง” โซนอันตรายนั้น พวกเราได้เห็นการฉายแสง ของดาวรุ่ง ภายใต้เสื้อของทีมค้างคาวไฟ
กับฟอร์มที่ถูกจับตา และยกให้เป็นดาวรุ่งที่อนาคตไกลรายนั้น คือ “เจ้าน๊อต” ศิวรุต ผลหิรัญ นักเตะวัย 23 ปี ดีกรีดาวรุ่งทีมชาติ U21 และนับเป็น “นักเตะอายุน้อย” ที่ผ่านการลองเชิงสนามอาชีพ ภายใต้หลังคาบ้าน “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดมาแล้ว
กับการดึง “เจ้าน๊อต” ที่สังกัดศรีสะเกษ เอฟซี มาร่วมชายคาบ้านในเลกสอง แม้เจ้าตัวจะได้รับโอกาสลงสนามแข่งไม่มากนัก
แต่นัดแรก ที่ถูกส่งลงไปวิ่งกวด เขาอวดศักดาความร้ายกาจ ให้กองเชียร์ได้ทึ่ง กับการลากเลื้อย และไม่มีใครฉกบอลจากเท้าได้ หากไม่ใช้ การตัดเกม
“เจ้าน๊อต” ในวัย 23 ปี เขาเคยผ่านการค้าแข้งมาแล้วหลายสโมสร เรียงลำดับตั้งแต่ล่าสุด คือ ศรีสะเกษ เอฟซี , บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, ราชบุรี มิตรผล เอฟซี, ราชวิถี
กับจุดเด่นที่หมอนี่มี คือ “วิ่งเร็ว” แม้เขาจะยังไม่เคยลองวัดฝีเท้ากับ “จอน บาจโจ้” กัปตันค้างคาวไฟ ผู้ที่ได้ชื่อว่าวิ่งเร็วเป็นอันดับต้นๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่า สมัยก่อนเข้าวงการฟุตบอลรุ่นใหญ่ เขาเคยเป็น “ดาววิ่ง” โรงเรียนถิ่นปักษ์ใต้ที่เคยส่งลงแข่งหลายรายการ และได้รางวัลมาไม่น้อย
และด้วย โรงเรียนระดับประถมที่เปิดกว้างทุกกีฬา ทำให้ “เจ้าน๊อต” เป็นทั้งนักวิ่ง และ นักฟุตบอลของโรงเรียน ฝีเท้าตอนนั้น ในตำแหน่ง ปีกซ้าย ไม่รู้ว่าไปถึงขั้นไหน แต่ความโดดเด่นเชื่อว่ามีพอดู จนแมวมอง จากโรงเรียน สตรีวิทย์2 เลือกตัวให้เข้าสังกัดในวัยเพียง 14 ปี
“ผมเล่นบอลมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เล่นแถวบ้านไม่เคยไปไหนไกล แต่พอมีโอกาส ได้ไปเรียนในเมืองกรุง ผมถามแม่ก่อนเลย ว่าให้ไปไหน ตอนแรกคิดว่าเขาคงไม่ให้ไป แต่กลับกันครับ เขาบอกผมว่า ไปลุยเอาเลย ตอนนั้นผมดีใจและคิดว่าตัวเองนี่โคตรโก้เลย แถมโอกาสที่ได้รับจากสตรีวิทย์ ได้แข่งรายการนักเรียนหลากหลาย แม้ไม่ได้ใหญ่แต่คือสนามที่ทำให้ผมรู้ว่าโลกฟุตบอลมันกว้างกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
กับโลกกว้างที่ “เจ้าน๊อต” บอกเขายังไม่คิดไปไกลถึง ระดับทีมชาติ หรือ สโมสรอาชีพ จนกระทั่งอยู่ จบ ม.3 และถูกดึงตัวไปอยู่ที่ “กรุงเทพคริสเตียน” โรงเรียนที่ได้ชื่อว่าบ่มเพาะความเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าฉกาจ และ ปั้นเด็กๆ ให้ขึ้นประดับวงการฟุตบอลของประเทศหลายคน
“ที่กรุงเทพคริสเตียน ผมแค่ไปลองคัดตัวดู เพราะรุ่นพี่แนะนำมา บอกว่า ลองไปดู เพราะที่กรุงเทพคริสเตียนมีความพร้อมและเป็นเวทีแสดงโอกาส”
แน่นอนว่า… ระดับ “เจ้าน๊อต”ที่ได้ชื่อว่าปีกเจ้าลมกรด เตะตาโค้ชกรุงเทพคริสเตียนแน่นอน และในปีนั้นเอง เขาได้เปลี่ยนจากเสื้อ “ขาว-แดง” ไปเป็น “ม่วง-ทอง”
กับการเปลี่ยนสีเสื้อประจำโรงเรียน ตอนนั้นถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ ใหม่ทั้งสภาพแวดล้อม สภาพโรงเรียน สนามฟุตบอลและเพื่อนใหม่ แต่ที่สร้างความตื่นตาสำหรับ “เจ้าน๊อต” สุดๆ ในตอนนั้น คือ ได้กระทบเพื่อนนักเรียน และรุ่นพี่ ที่ได้ชื่อว่า เป็น “นักเตะทีมชาติ”
จนสร้างแรงบันดาลใจให้ “เจ้าน๊อต” อยากจะไปให้ถึง คำว่า “นักฟุตบอลทีมชาติ” และตั้งเป้าตัวเองไว้ตั้งแต่นั้นมา แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และ ผ่านด่านแข่งขันต่างๆ มากมาย
“ผมคิดเสนอว่า โอกาสที่ผมได้รับ มันไม่เคยวิ่งมาหาผม หากผมอยากคว้า ต้องวิ่งเข้าใส่อย่างเดียว ต้องลุยเอาเอง เหมือนที่แม่บอก ตั้งแต่ที่ผมมาอยู่ซ้อมหนัก การแข่งขันสูง ต้องทำตัวเองให้เด่น และดี เพราะโค้ชจะเลือกคนที่ดีที่สุดลงสนามแข่ง หากไม่ตั้งใจซ้อม โอกาสที่เราควรได้รับจะไม่เกิดขึ้น”
กับประสบการณ์ล่าท้าฝันในวัยเด็ก “เจ้าน๊อต” มีโอกาสร่วมเป็นดรีมทีมชาติไทย รุ่นเล็ก เข้าแข่งขันหลายรายการ จนพาทีมชาติไทย ระดับนักเรียนไทย ได้แชมป์ครั้งหนึ่ง ที่ “อินโดนีเซีย”
ก้าวต่อไปที่ “ไทยลีก”
หลังจบเกมรับใช้ชาติ พร้อมๆ กับสำเร็จศึกษากับกรุงเทพคริสเตียน “เจ้าน๊อต” ได้คว้าฝันก้าวต่อไปทันที กับ “ราชบุรี มิตรผล เอฟซี” ยุคที่ “เสี่ยฟลุ๊ค” ธนวัชร์ นิติกาญจนา เป็นผู้บริหารทีมรุ่นใหม่ ไฟแรง
กับสนามอาชีพ ของ “ปีกซ้ายลมกรด” ที่ราชบุรีฯ หาใช่ที่แรก เพราะสมัยที่ยังเป็นนักเรียนคอซอง ขาสั้น เขาเคยเล่นให้กับสโมสรราชวิถี ในดิวิชั่น2 ซึ่งเปรียบเหมือนสนามทดลองอาชีพแรก และเมื่อเข้าสู่ระบบอาชีพอย่างเต็มตัวกับ “ราชันมังกร” ทำให้การปรับตัวง่ายมากขึ้น ยกเว้นเรื่องเดียว คือ เมื่อเขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับรุ่นพี่ ในดีกรี ที่ว่า “ประสบการณ์”
“ผมไปอยู่สโมสรอาชีพ ต้องอยู่กับรุ่นพี่ที่อายุห่างกัน 10 ปี ผมเหมือนตัวเล้กมาก ประสบการณ์อ่อนที่สุด แน่นอนว่าคำดูถูกมีแน่นอน แต่ผมคิดในใจเสมอว่า ขอเวลาผมหน่อย เดี๋ยวได้รู้จัก กับที่ราชบุรีฯ เขายึดกับระบบอาชีพมากๆ นักเตะต้องมีคุณภาพ สิ่งที่ผมต้องฝึกหนักพอสมควรนอกจากการฝึกซ้อมปกติแล้ว คือ ต้องหัดทำสมาธิ เพื่อให้มีสติกับเกม ไม่ผิด ไม่พลาด แม้ผมจะเป็นเด็ก แต่หากผมเป็นคนคุณภาพ ยังไงต้องได้รับโอกาส”
และโอกาสของเขา เกิดขึ้นจริง หลังจากโชว์ฟอร์มกับ “ราชบุรี ชุดบี” จนโดดเด่น ทำให้เลกสองของ “ราชบุรี” ปี 2558 ดึงตัวขึ้นชุดใหญ่ และเกมแรกที่เขาได้ลง เขาทำประตูได้ ด้วยเท้าซ้าย ในเกมเจอกับ “ราชนาวี”
“ผมเป็นคนถนัดเท้าขวานะ แต่ที่ยิงเท้าซ้ายได้ เพราะผมฝึกความถนัดนั้นขึ้นมาเอง เพราะผมคิดเสมอว่าหากเล่นได้ทั้ง 2 เท้า คือการสร้างโอกาสและความโดดเด่นให้กับตัวผมเอง และผมภูมิใจกับสิ่งที่ได้ฝึกกับความไม่ถนัด จนกลายเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสให้ผม”
กับประสบการณ์ที่ใครหลายคนอยากรู้ หลังจากถูกปล่อยตัวให้ “ปราสาทสายฟ้า” ยืมตัว แน่นอนว่าการไปครั้งนั้น คือ เพื่อไปฝึกฝน
เพราะ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ล้วนมีนักเตะคุณภาพ ยืนปักหลักเป็นตัวจริง การได้เบียดแย่งตำแหน่งได้ ต้องพิสูจน์จนแน่แก่ใจว่า “เด็ดจริง”
แม้เขาจะถูกคัดเลือกให้ลงแข่งขัน แต่ด่านทดสอบสำคัญ คือ “การอยู่ต่อ” ไม่ผ่าน
ชีวิตนักฟุตบอล ถูกขับเคลื่อนไปอีกหลายสโมสร และล่าสุด คือ “สุโขทัย เอฟซี”
กับแต่ละเกมแข่งขันและสนามฝึกซ้อม ในบ้านแต่ละหลังที่เขาเข้าสังกัด “เจ้าน๊อต” ยึดถือเสมอว่า นี่คือ สนามที่ฝึกตัวเองให้แข็งแกร่ง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะได้อยู่ใต้ชายคาบ้านแต่ละหลัง ภายใต้ระยะเวลาเท่าไร เขามักไขว่ขว้าแบบฝึก และเก็บมาไว้เป็นบททดสอบตัวเองอยู่เสมอ
“ในสนามซ้อมและสนามแข่งขันของแต่ละสโมสร ล้วนมีบทโหดที่ต่างกันออกไปครับ แต่ละทีมมีความกดดัน มีความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนสำหรับผมคือหน้าที่ เตะบอล ซ้อมบอล ณ จุดนั้นให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด และใส่ใจต่อรายละเอียดการซ้อมให้มากที่สุด ผมเข้าใจ อารมณ์กดดัน อารมณ์คาดหวังที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เป็นความกดดัน นั้นต้องผันให้เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ และส่วนสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นให้ได้”
“ครั้งหนึ่งผมเคยอยู่กับโค้ชต่างชาติ เขาเรียกผมเสมอว่า Young Boy ผมก็คิด เด็กแล้วไง บางครั้งผมไม่ได้เล่น เพราะเขาว่าอายุน้อย ผมว่ามันไม่แฟร์กับผมเลย แต่ผมไม่ได้พูดออกไปนะครับ ทำได้แค่พิสูจน์ให้โค้ชเห็นว่า ผมก็ทำได้ไม่แพ้คนที่อายุมากกว่า”
กับโอกาสที่ “ศิวรุต” ได้รับและต่อยอด จากการเป็นดาวรุ่ง จนกลายเป็น ดาวที่รอโอกาสลงสนาม แม้ในเกมของสุโขทัย เอฟซี จะยังไม่เห็นบทบาทที่ฉายแวว จนครบ 90 นาที แต่เชื่อว่า แค่ 5 นาทีที่เขาได้ลง เขาบอกตัวเองเสมอว่า ต้องทำให้เต็มที่
“กับสุโขทัยเอฟซี ถ้ามีโอกาสได้ลง ผมต้องทำให้เต็มที่ทุกครั้ง แม้บางครั้งจะเจอสิ่งที่ผิดพลาด ต้องกลับมาแก้ไขให้ไว กับสิ่งที่ผมต้องทำให้ได้ดีที่สุด คือ การเป็นตัวทีเด็ดทีขาด สำหรับเกมแข่งขัน และร่วมเป็นฟันเฟืองให้ทีมเอาชนะทุกอุปสรรค และแรงกดดันที่เกิดขึ้นให้ได้”
____________
By BlackSugar
ติดตามช่องทางข่าวสาร-เสนอแนะ ติชม และร่วมกิจกรรมสนุกๆ กับเราได้ที่…
Fb : www.facebook.com/dailysoccerthailand
Twitter : dailysoccer2017
IG : dailysoccerthailand
Line : @dailysoccerth
Website : http://dailysoccer.in.th