- Home
- Special Report
- จากแบงค็อก – ท่าเรือ – บีจี ถึง ‘เมืองทอง’

จากแบงค็อก – ท่าเรือ – บีจี ถึง ‘เมืองทอง’
DST.Special Report : ไม่มีกติกา ไม่มีบัญญัติไตรยางศ์ ว่า “ทีมใหญ่” และ “อดีตแชมป์” ห้ามตกชั้น ในขณะที่ลีกพระรอง ยินดีต้อนรับทุกทีมที่ร่วงหล่นมา
ดังนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอล เสมือนสัจธรรมที่ว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
สถานการณ์ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด อดีตแชมป์ไทยลีก 4 สมัย ที่ยังจ่อมจมอยู่ก้นตารางมานานหลายสัปดาห์ พาให้คิดถึงสัจธรรมข้อนั้น
ไม่ใช่แค่อยู่โซนตกชั้น แต่ “กิเลนผยอง” นอนจมกองเลือดอยู่อันดับ 16 ในขณะที่ลมหายใจค่อยๆ โรยรินไปเรื่อยๆ แม้จะเปลี่ยนขงเบ้ง ปลุกเร้า ไปแล้วก็ตาม
11 นัด แรก ทำได้แค่ชนะ 2 เกม เสมอ 2 เกม และแพ้ไปแล้วถึง 7 เกม ทุกอย่างทำท่าจะดีในบอลถ้วย แต่เมื่อถึงเวลาจริง “กิเลน” ตัวนี้กลับยังอยู่ในอาการปางตาย
คอบอลจากทั่วสารทิศ ทั้งที่เป็นสาวก และไม่เป็นสาวก ยังเชื่อว่า ด้วยความเป็น “ยักษ์ใหญ่” ที่สุดแล้ว กิเลนตัวนี้จะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วควบเอาตัวรอดไปได้ในที่สุด
เชื่อมั้ยว่า ทุกคนก็คิดแบบนี้กับ “กระต่ายแก้ว” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หรือ บางกอกกล๊าส เอฟซีเดิม เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่สุดท้ายมันก็แค่ “ความเชื่อ” เมื่อหล่นลงไปเล่นในไทยลีก 2

ภาพของเหลวจากอวัยวะที่ใช้ในการมอง ซึ่งฉาบเปรอะอยู่บนใบหน้า “สาวกกระต่ายแก้ว” ในแมตซ์สุดท้ายของฤดูกาล ทำให้ทฤษฎีเรื่อง “ความเชื่อ” มีน้ำหนักน้อยลง
“บีจี” ไม่ใช่กรณีแรก หากแต่ในพงศาวดารลูกหนัง ไม่ต้องย้อนไปไกลแต่ 20 หรือ 30 ปี เอาแค่ 10 ปีหลังนี้ มีเสียงอึกทึกครึกโครม จากวัตถุขนาดใหญ่บางชนิดกระทบกับพื้นมาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง
“ยักษ์” บางตนที่ต้องหล่นไปเล่นลีกพระรอง เป็นถึง “อดีตแชมป์” อย่างที่ “กิเลนผยอง” มีบันทึกอยู่ในโปรไฟล์สโมสรเสียด้วยซ้ำ
การตกไปเล่นสถานที่ที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อเทียบกับความมหึมาของสโมสร บางทีมเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ใช้เวลาตรงนั้น “ทบทวน” และ “ปฏิวัติ” ตัวเองใหม่
ซึ่งหลายทีมกลับมา “ดี” หลังจากไปรื้อเครื่องครั้งใหญ่
ดังเช่น ทีมเจ้าสัว “ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด” อดีตทีมมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้อหังกาคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในปี 2549 เคยต้องมอดดับ หล่นจากลีกสูงสุด เมื่อจบอันดับ 15 ในฤดูกาล 2553 ในขณะที่อาการก่อนหน้านั้น ก็ไม่สู้ดีมาตลอด เหมือนหมอเลี้ยงไข้ ตั้งแต่ฤดูกาล 2552 ที่จบด้วยอันดับ 13
“แบงค็อก” ใช้เวลาในการปฏิรูปทีมถึง 2 ปี ก่อนจะขวนขวายพาตัวเองกลับมาได้ในฤดูกาล 2555 โดยผู้ชายที่ชื่อ “สะสม พบประเสริฐ”
หลังจากนั้นพวกเขาพยายามยกระดับตัวเองมาตลอดจนแข็งแกร่งเหมือนปัจจุบัน

แฟนบอลสิงห์เจ้าท่า ก็เคยลิ้มรสลีกที่เรียกว่า “เที่ยวทั่วไทย” มาแล้ว หลังจากในปี 2558 ยอดทีมแห่งคลองเตย จบฤดูกาลด้วยอันดับ 17 ตกไปเล่นลีกพระรอง
แต่กองน้ำตาที่แพท สเตเดี้ยม ใช้เวลาเพียงฤดูกาลเดียวก็เหือดแห้ง เมื่อ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ สังคายนาทีมจาก “อาชา” เป็น “สิงห์” คัมแบ็กกลับมาเล่นไทยลีกในปีเดียว
จาก “ท่าเรือ” ที่ไร้ความดุดัน ทรงบอลสวนทางกับความหนาแน่นของแฟนบอลในสนาม การตกชั้นในวันนั้น ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง และมีลุ้นแชมป์ในวันนี้

ในขณะที่ “บีจี” ยักษ์ตัวล่าสุดที่น้ำตาระคนทั่วลีโอ สเตเดี้ยม ในวันปิดม่านไทยลีกฤดูกาลก่อน ก็เหมือนกำลังเปลี่ยนฝันร้ายให้เป็นแรงผลัก
“บีจี” ในยุคไทยลีก 2 ไม่ใช่แค่พวกเขามีนักเตะและทรัพยากรที่อุดมมากกว่าทีมอื่น แต่ที่แปลกตาออกไปคือ ทรงบอลที่ดุดัน ประหนึ่งค้นพบ “สไตล์” ของตัวเองแล้ว
“บีจี” เป็นทีมใหญ่ อู้ฟู้ด้วยทุนทรัพย์ แต่ที่ผ่านมาบนลีกสูงสุด ห้องเกียรติยศของสโมสร กลับมีปริมาณถ้วยแชมป์ไม่สมส่วนกับขนาด
การล้มครั้งนี้ มันเลยทำให้มีเวลา “ผ่าเครื่อง” ใหม่ และไม่แน่ว่า ในปีหน้าที่กลับขึ้นมา ยอดทีมแห่งปทุมธานี อาจเป็นอย่างที่ “แบงค็อก” กับ “ท่าเรือ” เป็นอยู่ในขณะนี้
แลหลังกลับมา “เมืองทอง” ในวันนี้ แล้วพลันนึกถึงทฤษฎี “ความเชื่อ” ที่ว่า ด้วยความเป็น “ยักษ์” สุดท้ายจะเอาตัวรอดได้ มันไม่แน่เสมอไป
ในเมื่อไทยลีก ไม่มีกฎอดีตแชมป์ห้ามตกชั้น
และอดีตสอนให้รู้ว่า “ยักษ์” ก็ล้มเป็น!!!
เรียบเรียงโดย : วนิลลาสกาย
