วิกฤต “สีหมอก” บทเรียนจาก “หมอกร้าย” สู่ “ฝุ่นพิษ” บอลไทย
DST.Exclusive : ปรากฎการณ์ที่ “สโมสรสีหมอก เอฟซี” ถูก สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระงับสมาชิกภาพและริบสิทธิแข่งขัน รายการฟุตบอลไทยลีก3 ฤดูกาล 2019 ด้วยเหตุที่ ทีมบริหารสโมสรฯ ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างนักเตะและเจ้าหน้าที่ รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
ทำให้ นักเตะ กว่า 33 ชีวิต และสต๊าฟ อยู่ในภาวะ “ตกงาน” ย้ายสังกัดเพื่อเริ่มเกมใหม่ ก็ไม่ได้
แน่นอนว่านี่เป็นความบอบช้ำอันใหญ่หลวง ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในวงการ “ฟุตบอลอาชีพ”
กับความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้น “สุชนม์ สงวนดี” กัปตันทีมสีหมอก เอฟซี ยังมีความหวังว่า “สโมสรต้นสังกัด” จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของสมาคมฯ ตามระเบียบที่กำหนด คือ 30 วันนับจากวันที่ 29 มีนาคม 2562
“พวกผมไม่เท่าไร แต่สงสารน้องๆ มากกว่า เพราะแต่ละคนล้วนมีความฝันบนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ อยากเป็นนักเตะมืออาชีพ หลายคนเพิ่งสร้างตัว แต่เมื่อเรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ต้องเป็นจริง พวกผมหวังว่าจะมีทางออก อยากให้มีคนเทคทีมทำต่อไป ทุกคนในทีมอยากช่วยกันให้ทีมได้ไปต่อ และทำให้ทีมอยู่รอด”
กับผลของคำสั่ง โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ แม้เนื้อหาจะเขียนว่า “ระงับสมาชิกภาพ” เพื่อบังคบให้การทำผิดกฎต้องถูกชำระ แต่หากกระบวนการแก้ไขไม่เดิน แน่นอนว่า “สีหมอก เอฟซี” ที่ถูกโละผลการแข่งขันที่ผ่านไป และ ระงับสิทธิลงแข่งขันในเกมที่เหลือจนกว่าจะแก้ไขให้ถูกต้อง
การเยียวยาเรื่องนี้ “บิ๊กแชมป์ – กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการเลขาธิการสมาคมฟุตบอล” บอกกับ DST. ว่า ทางออก คือ สมาคมฟุตบอลฯ จะทำหนังสือเพื่อให้นักเตะทีมสีหมอก เอฟซี โอนย้ายทีมได้ช่วงกลางเทอม แต่จะไม่มีสิทธิลงแข่งขันได้ เพราะการลงทะเบียนเป็นนักเตะ ตามช่วงเวลาตลาดซื้อ-ขายนักเตะ ยังไม่เปิด หากจะรอ คือ เดือนมิถุนายน
“ผมว่านักเตะทีมสีหมอก หากได้มีทีมไปฝึกซ้อมเพื่อเรียกความฟิต และความพร้อมกับทีมที่เขาสามารถว่าจ้างในราคาที่ 20 – 50 เปอร์เซ็นต์ ของค่าตัวเดิม น่าจะเป็นทางเยียวยาที่พอช่วยได้” บิ๊กแชมป์บอก
อย่างไรก็ดีในทางออกนี้ “สุชนม์” พร้อมรับ แต่ในทางที่ดี ที่สมาคมฯ ควรมี คือ ป้องกันวิกฤตแบบนี้ ที่จะกลายเป็นหมอกร้ายในวงการฟุตบอลไทย
“ผู้บริหารใหม่ที่เข้ามาช่วงต้นฤดูกาล เขาดูมีความตั้งใจทำทีมฟุตบอลมากนะครับ บอกว่าจะทุ่มเท และพาสีหมอก เอฟซีเลื่อนชั้นให้ได้ แต่เขามาที่สโมสรเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นอกนั้นส่งคนเข้ามาดูบ้าง จนมีเรื่องค้างจ่ายค่าตัว เป็นสัปดาห์ จนกลายเป็นหลายเดือน เขาก็บอกให้รอจนกลายเป็นเรื่อง”
“การทำแบบนี้ ผมมองว่าไม่ใช่เป็นแค่การทำลายสโมสร หรือ ฟุตบอลไทยเท่านั้น แต่เขายังมาทำลายชีวิต ความฝัน และอนาคตของนักเตะในทีมอีก สำหรับทีมอื่นที่เขาอาจจะสงสารและรับเข้าสังกัด ผมไม่อยากให้เขารับเพราะสงสาร แต่ต้องเห็นคุณค่าและใช้ประโยชน์จากพวกเราได้”
กับประเด็นสำคัญ เพื่อเป็นมาตรการป้องกัน “เหตุร้าย” ซ้ำเติมวงการฟุตบอลไทย “บิ๊กแชมป์” บอกถึงแนวคิดที่เตรียมเสนอ “ทีมบริหารสมาคมฟุตบอลฯ” คือ การคัดกรอง “นายทุน” ที่จะเข้ามาบริหารสโมสรฯ ผ่านการดูตัว และดูวิสัยทัศน์แนวทางบริหาร
เพราะกรณีของ “ธนเดช ยงกิจจาธร” ประธานสโมสรสีหมอก เอฟซี หากสืบค้นจริงๆ จะพบว่ามีประวัติที่ไม่ค่อยดี เคยถูก “กระทรวงมหาดไทย” ขึ้นแบล็คลิสต์ “ธนเดช” และ บริษัท ประยืนยง วู้ดเฟอร์นิช จำกัด คือ ผู้ทิ้งงานรับจ้างตกแต่งภายในของกรมการปกครองท้องถิ่น มูลค่ารวม 14 ล้านบาท เมื่อปี 2548 และเรื่องนี้ถูกฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกค่าชดใช้ อ่วม!! เช่นกัน
แต่การเรียกดูตัว เพื่อคัดกรองตามข้อเสนอ แน่นอนว่า สมาคมฯ ไม่มีสิทธิแทรกแซงการบริหารจัดการภายในของ “สโมสรฟุตบอล” ได้
“ผมไม่ต้องการให้สมาคมแทรกแซงเรื่องบริหารจัดการ หรือ กำหนดเพดานเงินเดือนค่าตอบแทนใดๆ แต่สิ่งที่จะทำ คือ นายทุนที่เข้ามาต้องมีแผนทำทีม อย่างน้อยต้องผ่านการดูตัว รู้จักกัน เพราะผมไม่อยากให้เกิดเหตุนี้ซ้ำอีก แม้ก่อนหน้านี้จะมีเคสที่เกิดขึ้นเหมือนกัน และเขาเคยขู่ว่าจะยุบทีม เพื่อเกิดผลกระทบกับการจัดแข่งขัน”
“แต่ผมไม่ต้องการหรอกนะ ไทยลีก 3 หรือไทยลีก 4 ที่ต้องมีทีมเป็นร้อยแข่งขันกัน แล้วเกิดปัญหาแบบนี้ ผมอยากให้วงการฟุตบอลพัฒนาจริงๆ ขอมีทีมไม่มาก 60 – 80 ทีมก็พอ แต่ทีมเหล่านั้นคือหลักประกันสำคัญของการพัฒนาฟุตบอลไทยได้จริงๆ “
กับกรณีของ วิกฤต “สโมสรสีหมอก เอฟซี” หวังว่าจะเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า และไม่มีใครปล่อยให้กลายร่างจาก “หมอกร้าย” สู่ “ฝุ่นพิษ” ที่ทำลายวงการฟุตบอลไทย
ขอบคุณ สโมสรฟุตบอลสีหมอก เอฟซี
By BlackSugar