“เอ้ ทศพร” จากเด็กโดนบังคับ “เล่นบอล” สู่โอกาสดีๆ ที่มีความหมาย
DST.Exclusive : แม้ “ตราด เอฟซี” ทีมที่มีฉายาว่า “ช้างขาวจ้าวเกาะ” จะเป็นทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่ลีกฟุตบอลสูงสุด เมื่อปี 2019
และผลงาน หลังผ่านไป 4 เกมยังเก็บแต้มรั้งท้าย อยู่โซนท้ายตาราง
แต่ใครจะไปเชื่อว่า “ทีมช้างขาวฯ” ถือเป็นทีมที่สะสมผู้เล่นไทยลีก มากประสบการณ์ไว้เพียบ
กับเขาคนนี้ “เอ้ – ทศพร ศรีเรือง” ก็เช่นกัน ในบทบาทนายทวาร ผู้ปิดโอกาส ยิงประตูของคู่แข่ง
ถือเป็น “ผู้เล่น” ที่มีดีกรี ไม่ธรรมดา
เขาเริ่มจาก เด็กปั้นของ “อะคาเดมี่การท่าเรือ เอฟซี“ เมื่อ14 ปีก่อน สู่ลีกบอลเด็ก “กรุงเทพคริสเตียน“ เคยผ่านประสบการณ์ ทีมชาติรุ่นเด็ก และ สโมสรอาชีพยุคบุกเบิก
แต่กว่าเขาจะผ่านสนามซ้อม สนามแข่งขัน จนสู่เส้นทางของ “นักเตะอาชีพ” มันคือ เรื่องท้าทาย ที่เขาต้องใช้ใจฟันฝ่าอุปสรรค
เชื่อหรือไม่ “เอ้-ทศพร” เขาไม่เคยฝันว่าจะเป็น นักบอลอาชีพ หรือ ติดทีมชาติ เพราะก้าวแรกของการรู้จัก “ฟุตบอล” มาด้วยภาคบังคับ
“ผมเป็นเด็กคลองเตย อาศัยอยู่แฟลตตำรวจกับพ่อ ด้วยสภาพแวดล้อม ทำให้พ่อบังคับให้ไปลงเรียนฟุตบอล ที่อะคาเดมี่ของการท่าเรือ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตลอด 1 ปีที่ฝึก ผมถอดใจไปหลายครั้ง เพราะถูกบังคับให้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู ทั้งที่อยากลงไปเตะในสนาม เหตุผลคือ ตัวตัวกว่าเพื่อน แถมตอนลงเล่นโดนโค้ชด่าทุกวัน เพราะผมเป็นเด็กที่ไม่มีเบสิคอะไรมาก่อน”
แต่สิ่งที่ทำให้เขา กล้าฟันฝ่า เราไม่รู้ว่า เพราะเขาเริ่มหลงรักฟุตบอล หรือ ไม่อยากโดนดูถูกกันแน่
กับจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้น คือ มีชื่อติดเข้าเรียนและเล่นบอลให่กับทีม “กรุงเทพคริสเตียน” ที่ช่วงนั้นคือ เทพของฟุตบอลคอซอง – ขาสั้น
“พ่อพาผมไปคัดตัวเข้าเรียน แต่ผมไม่ได้รับเลือก เพราะทีมโรงเรียนเขาเลือก เจ้าตอง – กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เป็นเบอร์หนึ่ง ส่วนผมติดเป็นตัวสำรอง แต่ท้ายสุด เจ้าตองเลือกไปเรียนที่อัสสัมชัญ ธนบุรี ผมจึงถูกเรียกให้เข้าเรียน เพราะพ่ออยากให้ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ”
การซ้อมสไตล์กรุงเทพคริสเตียน ที่ต้องใช้การแข่งขัน เพื่อพิสูจน์ความแน่ของตัวเอง ทั้งแข่งกันเพื่อนในโรงเรียน และ แข่งรายการนอกโรงเรียน ทำให้ “เจ้าเอ้” พบความบันเทิง – มีช่ือเสียงเพราะฟุตบอลนักเรียนสมัยนั้นดังกล่าว ไทยลีกสมัยนี้เสียอีก
กับความสนุกที่ได้ลงสนาม โชว์ฟอร์ม ทำให้สิ่งที่เขาไม่เคยหวังถึง คือ “โอกาสติดทีมชาติ” มาแบบไม่ทันตั้งตัว โดยถูกเรียกให้ติด ทีมชาติ ตั้งแต่ U-12, U-15, U-17, U-19 และ U-23
“ผมมีชื่อติดไปเกือบทุกชุดรุ่นเด็ก แต่โอกาสโชว์ฟอร์มจริงๆ ไม่ค่อยมี เพราะรั้งอันดับเป็นมือสามมากกว่า แต่ผมไม่น้อยใจนะ เพราะแค่มีชื่อติดทีมชาติ ก็มีความสุข แม้มันไม่สุขสุดๆ แต่ถือเป็นความภูมิใจ เพราะได้เก็บประสบการณ์ทีมชาติแบบใกล้ชิดไปเรื่อยๆ”
ขณะที่ประสบการณ์ของลีกอาชีพ “เจ้าเอ้” บอกว่าถือว่ามาไว กว่าที่คิดเช่นกัน
“ตอนผมอยู่ ม.6 ย้ายไปเรียนที่อัสสัมชัญ บางรัก ด้วยเหตุที่เป็นเด็กปั้นของท่าเรือ เขาเรียกให้เข้าทีม ผมไม่คิดว่าจะได้ลงเล่นจริงจัง เพราะอายุยังน้อย แค่ 17 ปีเอง ผมคิดว่าดีใจแล้วที่ถูกเรียกเข้าทีม ได้แค่เสื้อซ้อมก็ดีใจมากแล้ว แต่วันหนึ่งที่ผมมีชื่อเรียกลงสนามจริงจัง มันตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก”
กับเกมแรก ของเส้นทางอาชีพ เขาบอก เป็นเกมที่แข่งขันกับ ชลบุรี เอฟซี ในปีที่ทีมชลบุรีฟอร์มเข้าฝักมากที่สุด คนเชียร์เต็มสนาม
แม้เกมแรกผลงานของเขาจะ รักษาการเสียประตูไม่ได้ แพ้ไป 2:0 กับสิ่งที่เขาได้ คือ ประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น จากเด็กที่สุดในทีม ลงเล่นไปบนความคาดหวังที่สูง แต่เขาสามารถรับความกดดันเกมแรกได้ แถมเกมแมตช์ต่อๆ ไป ยังได้โอกาสให้เฝ้าเสาอีกหลายครั้ง
เมื่อถึงวัย เจอการเปลี่ยนแปลง “เจ้าเอ้” ต้องเผชิญกับคำว่า “วิถี” ฟุตบอล เมื่อไม่ใช่ผู้เล่นในแผน ต้องโยกย้ายไปตามทาง จาก “การท่าเรือ เอฟซี” เขาย้ายไปหลายสโมสร ทั้ง “สมุทรสงคราม เอฟซี” – “ทีมพิจิตร” – “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” – “บีอีซี เทโร ศาสน” – “นครปฐม ยูไนเต็ด” – “พัทยาฯ ” – “นครราชสีมาฯ”
แม้เขาจะกลายเป็น ผู้รักษาประตูที่ได้รับความไว้วางใจ แต่ผลงานของเขากลับรักษาฟอร์มไว้ให้คงที่ไม่ได้ จนแฟนบอลถึงขั้นด่าทอ ผ่านโซเชียลมีเดีย
แน่นอนกับคำพูดเหล่านั้น เขารู้ตัว ว่าบางจังหวะของชีวิตอาชีพฟุตบอล เขาเองที่เป็นคนไม่ใส่ใจ ปล่อยตัวเละเทะ จนครั้งหนึ่งน้ำหนักตัวพุ่ง เกิน 100 กิโลกรัม เกินจากมาตรฐานน้ำหนักตัวที่ควรจะเป็น คือ 85 กิโลกรัม
“ผมเร่งฟิต เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก เลิกกินน้ำอัดลม ไม่กินข้าวเย็น แม้จะน้ำหนักลงจริง แต่ร่างกายไม่มีแรง มันบาลานซ์ไม่ได้ แต่ผมพยายามไม่ท้อ และคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาทำผลงานให้ดีที่สุด“
เพราะ เขาเห็นแล้วว่า “ฟุตบอล” แม้จะเริ่มต้นด้วยความไม่ตั้งใจ เล่นเพื่อให้ได้สิทธิบรรจุเป็นพนักงานขององค์กรที่เป็นเครือข่ายสโมสรฟุตบอลฯ แต่เมื่อมุ่งมั่นและเอาจริงแล้ว คือ อาชีพที่สร้างรายได้ และคือ เวทีให้โอกาสคน
กับไทยลีกฤดูกาล 2019 ที่เขาประจำการ “ตราด เอฟซี” แน่นอนว่า เป้าหมายของทีมตอนนี้ คือ การขยับให้พ้นโซนตกชั้นไปให้ไกลที่สุด
แม้การทำหน้าที่ของ “เจ้าเอ้” จะถูกจับตาหนัก มีคนวิจารณ์การเล่นเยอะ แต่เมื่อครั้งไหนเขาพิสูจน์ตัวเองให้เห็นได้ และลบคำดูถูกทั้งหมด เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจในชีวิต
“มีบ่อยที่ผมถูกกดดันและดูถูก แต่ผมเลือกจะดูเพื่อเป็นแรงกระตุ้น มากกว่าเก็บมาใส่ใจแล้วจมไปกับคำพูดพวกนั้น สิ่งที่ผมทำเสมอคือ เกมที่พลาด ลูกแรกที่พลาด ต้องลืมไปให้ได้ และโฟกัสไปที่จุดต่อไป นาทีต่อไปที่เราได้รับโอกาสและความไว้วางใจให้ทำหน้าที่รักษาประตู ทุกเกมผมประเมินตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครมาประเมินชีวิต“
ดังนั้นสิ้งที่ “นายทวารตราดเอฟซี” อยากฝากถึงน้องๆ คือ ใช้ความตั้งใจ เพื่อฝ่าฟันทุกอุปสรรค ซ้อมอย่างตั้งใจ
“เราไม่รู้ว่าโอกาสจะวิ่งหาเราตอนไหน แต่อุปสรรคที่เข้ามามันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ขอให้โฟกัสที่การทำงาน ตั้งใจ ที่สำคัญ คือ ต้องรักษามาตรฐานของตัวเองให้ดี ฟุตบอลมักมีทางของมันเสมอ หากจะเป็นนักบอลที่เก่ง การฝึกซ้อม และตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด คือคำตอบ”
กับอีกเรื่องนอกจากฟุตบอล มีสิ่งที่ “ทศพร” ภูมิใจ คือ การร่วมทำดีเพื่อสังคม – ตามหาเด็กหาย ในโครงการของมูลนิธิกระจกเงา
ซึ่งเขาเคยเป็นผู้ถือรูป เด็กหาย ลงสนามก่อนเกมแข่งขัน เมื่อครั้งอยู่กับ “เทโร” แม้ผลการตามหาจะยังไม่เจอเด็กที่หายตัว แต่ส่วนหนึ่งที่เขาทำ ถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
ขอบคุณ ภาพจาก ทศพร ศรีเรือง
By BlackSugar