
จาก “ดาว” ร่วงสู่ “ดิน” แต่ “บอล-ศรัณย์” ยังไม่ทิ้งเป้าหมาย
DST.Exclusive : ไม่มีใคร ที่เป็น “ดาว” ค้างฟ้าได้ตลอด คำพูดแสนธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกที่ “ตกต่ำ” ไม่ใช่น้อย
สำหรับเส้นทางของ “นักฟุตบอล” คงไม่มีใครที่อยากจะเจอกับ “ชะตา” ที่เป็นเช่นนั้น
แต่กับเขาคนนี้ “บอล – ศรัณย์ ศรีเดช” กองหน้าดาวรุ่ง ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น ดาวซัลโวของทีม “เชียงใหม่ เอฟซี” เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว รู้ซึ้งที่สุด
เพราะเขาเคยผ่านทั้งจุดสูงสุดของ ชีวิตค้าแข้ง จนถึงขั้นตกอับไม่มีทีมไหนจะเหลียวมอง
“บอล-ศรัณย์” ในวัย 31 ปีที่ล่าสุดเป็น หัวหอกตัวรุก ให้กับ “ช้างเผือก-เจแอล เชียงใหม่” ทีมใน ไทยลีก ระดับพระรอง แต่กับเส้นทางชีวิตของเขา “สร้างเรื่อง” ไว้ให้โลกฟุตบอลได้จดจำมาไม่น้อย
กับจุดเริ่มต้นของเส้นทาง ในวัยประถมต้น ที่จ.ลำพูน บ้านเกิด เขายังเป็นเพียงเด็กชาย ที่คลั่งใคล้กับเล่นฟุตบอล เพื่อสนุก และตามประสาเด็กวัยซน จนได้รับโอกาสฝึกปรือฝีเท้ากับ “สโมสรนอร์ทเวิล์ด ของลำพูน” และมีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
“ตอนอยู่ประถม ผมรักฟุตบอลมาก อยากเล่น อยากเตะ จนมีครั้งหนึ่งผมอยากได้รองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่ที่ออกมา ถึงขั้นยอมขโมยเงินของแม่ ประมาณ พันกว่าบาท ไปซื้อรองเท้าใส่ๆ พอแม่รู้ตอนหลัง โดนดุนิดหน่อย ว่าทำไมถึงไม่ขอกันดีๆ”
จากนั้น “บอล-ศรัณย์” ยังมีความทะเยอทะยานในวงการฟุตบอลภายในจังหวัด จนโอกาสที่เปิดกว้าง มีการคัดเด็กไทย เพื่อไปชิงแชมป์บอลเด็กรายการแห่งเอเชีย เขากระโจนเข้าใส่ “รายการเดอะวิเนอร์” เพื่อหวังว่าจะได้บินไปไกลกว่าที่เคยเป็น
แต่ความฝันไปได้ไม่ไกล เพราะเขาไม่มีชื่อที่จะติดเข้าไปสู่รอบประเทศ
ถึงกระนั้นเขายังไม่หยุด เพราะด้วยฝีเท้าที่ถูกยอมรับ ทำให้เขาโดนดึงตัวไป “เล่นบอลเดินสาย” ให้กับรุ่นที่ที่รู้จัก จนชนิดที่ว่า “เสพติดการเล่นฟุตบอล”
“ก่อนจบม.6 ช่วงนั้นต้องสอบเพื่อเรียนต่อ และมีรายการบอลให้แข่ง แม้เป็นบอลเดินสายเกมเล็กๆ แต่ผมใช้จังหวะพักระหว่างสอบ ไปเดินสายเล่นฟุตบอล พอแข่งเสร็จ ก็กลับเข้าห้องสอบมาสอบต่อ ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา ขนาดต้องนั่งรถประจำทางข้ามเมืองเพื่อไปเตะบอล ยังเคยไปมาแล้ว แต่สิ่งที่ผมทำไม่เคยหวังเลยว่าจะมาเล่นบอลอาชีพ หรือไปไกลถึงติดตัวทีมชาติ”
แต่กระนั้นเส้นทางฟุตบอลเขายังสวยงาม เมื่อลีกอาชีพของ จ.เชียงใหม่ เริ่มเกิดขึ้นในนามของ “เชียงใหม่ เอฟซี” ชื่อของ “บอล-ศรัณย์” ติดอันดับเบอร์ต้นๆ และเมื่อได้ลงเล่น เขาไม่ทำให้ทีมผิดหวัง พาทีม “เชียงใหม่” กระโดนจากดีวิชั่น2 ขึ้นสู่ ดิวิชั่น1 พร้อมครองตำแหน่งดาวซัลโว ในปีแรกที่เข้าสู่วงการอาชีพ
“ผมคิดเสมอว่า แค่มีความตั้งใจ ไม่ว่าจะซ้อม หรือ แข่ง ผลงานจึงออกมาได้อย่างใจ แต่ช่วงแรกที่ผมเล่นอาชีพ ผมไม่ได้เป็นศูนย์หน้าเพียวๆ เพราะถูกโยกให้เล่นกองหลังบ้าง ตำแหน่งอื่นบ้าง เพื่อแทนเพื่อนที่บาดเจ็บ กับผลงานที่ผมได้รับคำชื่นชม ปัจจัยสำคัญคือ เพื่อนร่วมทีม รุ่นพี่ที่คอยให้คำแนะนำและสอนวิธีการเล่นแบบมืออาชีพ”
อย่างไรก็ดีใน ขวบปีแรกของอาชีพนักฟุตบอล แต่ละทีมย่อมมีการแข่งขันกันสูง ภาวะกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
กับสิ่งที่เขาคิดเพื่อเตือนใจไม่ให้ย่อท้อ คือ ทำทุกโอกาสให้ดี และ เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
และจากประสบการณ์ที่เคยเป็นนักบอลเดินสาย เจอกับเกม คู่ต่อสู้ที่หลากหลาย ทำให้เขาเก็บบทเรียนนอกสนาม มาเป็นครู เพื่อพัฒนาฝีเท้า
“ฟุตบอลไม่มีอะไรที่ง่าย แต่ผมโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมทีมช่วยเหลือ เล่นกันเป็นทีม เล่นด้วยสปีริต ช่วยเหลือกันแบบไม่หวงวิชา ซึ่งผมคิดว่าโชคดีที่สุดแล้วสำหรับผม”
แต่เมื่อเขาโตขึ้น จากระบบทีมที่เขามั่นใจ ก็พ่ายแพ้ให้กับคำว่า “วิถีฟุตบอล”
เพราะจากเชียงใหม่ เอฟซี เขาต้องย้ายค่าย ไปทั้ง ระยอง เอฟซี , ลำปาง เอฟซี แม้ปีที่เขาสังกัด รถม้ามรกต จะสร้างผลงาน พาทีมขึ้นลีกที่สูงขึ้น แต่ด้วยระบบทำทีมที่ปรับเปลี่ยน ทำให้เขาเป็นนักเตะเบอร์ต้น ที่ถูกยกเลิกสัญญา
ก่อนชีวิตจะระหกระเหิน ไม่มีทีมให้สังกัด ไปทดสอบกับ “สุโขทัย เอฟซี” ก็ไม่ผ่าน จนไปอยู่กับ อยุธยา เอฟซี กว่า 2 เดือนยังไม่ปิดดีล และเหตุที่ “ทีมอยุธยา” ต้องแยกตัว ในปีนั้นเขาไปจบที่ “อยุธยา วอร์ริเออร์” ในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรุก ทั้งที่ตลอด5ปีที่ผ่าน เขาครองตำแหน่งศูนย์หน้ามาตลอด
และเมื่อจบฤดูกาลในปีนั้น “อยุธยา วอริเออร์” ต้องยุติการทำทีม ทำให้ “ศูนย์หน้าร่างโย่ง” เกือบมีชื่อเป็นเพียงอดีต
“อยุธยา วอร์ริเออร์ ไม่มีสิทธิทำทีมต่อ ผมกับเพื่อนๆ ชวนกันกลับบ้าน แต่กว่าจะถึงบ้านแวะเที่ยวหลายๆ ที่ก่อน ผมเองตั้งใจแค่ติดรถเพื่อนกลับบ้าน แต่ด้วยคำชักชวนให้ไปเป็นเพื่อนคัดตัวที่แพร่ยูไนเต็ด เลยอยากลองไปเล่นดู ทั้งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้โอกาส แต่หลังคัดตัว ระหว่าง ทางกลับบ้าน สต๊าฟของทีมติดต่อให้กลับไปเซ็นต์สัญญาเข้าทีม”
แต่กับ “แพร่ ยูไนเต็ด” เขาสังกัดได้เพียงปีเดียว เพราะทีมต้องเปลี่ยนระบบ เขาต้องออกเดินทางอีกครั้ง รอบนี้เข้าสังกัด “จำปาศรี ยูไนเต็ด” ก่อนจะมีปัญหาภายใน ทำให้เขาเลือกเปลี่ยนวิถีฟุตบอลอีกครั้ง โดยรอบนี้เขาเลือกไปรับใช้สโมสรบ้านเกิด ที่ “ลำพูน วอร์ริเออร์”
“ผมกลับไปเล่นให้ทีมบ้านเกิด เมื่อฤดูกาล 2018 คือ ทุกคนคาดหวังในตัวผม ทำให้ผมต้องแบกความกดดันและความคาดหวังนั้นไปพร้อมกัน แต่ผมรู้ตัวว่าผมนั้นแย่ เพราะคนไม่ได้กลับบ้านมาเกือบ 10ปี ได้เจอเพื่อนเก่า จึงอยากใช้เวลากับเพื่อน ติดเพื่อน กิน เที่ยว จนไม่ดูแลร่างกาย แม้ตอนนั้นผมจะรู้ตัว แต่ด้วยความดื้อตั้งแต่เด็ก ติดเพื่อน ตามใจเพื่อนจึงไม่สนเรื่องสภาพร่างกาย”
เมื่อร่างกาย ไม่พร้อมสำหรับการเป็นนักฟุตบอล ทำให้ “บอล” เริ่มมีเค้าลางถอดใจ และเตรียมลาจากวงการ
แต่อยู่มาวันหนึ่งมีสิ่งที่ทำให้เขาคิด คือ “ครอบครัว” ทำให้เขากลับตัว และขอลุยกับเส้นาทงนี้อีกสักตั้ง
“ผมเป็นเด็กที่เรียนไม่จบ เพราะตอนวัยรุ่นเอาทุกอย่าง ทั้งกิน เที่ยว มั่วสุม ไม่เคยมีที่จะทำให้ครอบครัวสบายใจ แต่สำหรับผมในตอนนี้ แรงบันดาลใจสูงสุด คือ อยากทำให้ครอบครัวได้ภูมิใจผ่านการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมจึงขอลุยอีกสักตั้ง ไปจนกว่าที่ร่างกายจะไม่ไหว”
กับ “สโมสร เจ แอล เชียงใหม่” ต้นสังกัดปัจจุบัน ที่เห็นคุณค่าของ หัวหอกแนวรุก วัย 31 ปี ทำให้เขาตั้งใจจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นของทีมที่ทำให้ ต้นสังกัดประสบความสำเร็จ ท่ามกลางการแข่งขันในเกมที่ค่อนข้างสูง
กับเส้นทางชีวิตของ “ดาวซัลโว” ที่เคยร่วงลงสู่ “ดิน” มีร่องรอยของบาดแผล ที่มาจากอุปสรรคระหว่างเส้นทางอาชีพ ซึ่ง “บอล-ศรัณย์” ฝากถึงเยาวชนที่กำลังเดินตามหาฝันว่า
“ให้มุ่งมั่นกับสิ่งที่ได้ทำ และทำทุกอย่างให้เต็มที่ตอนนี้ฟุตบอลบ้านเราพัฒนาไปไกลมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับตัวเอง คือ ดูแลร่างกายให้พร้อมลงสู่สนามแข่งขัน และเมื่อได้รับโอกาสต้องมุ่งมั่น ทำหน้าที่ให้เต็มที่ อย่ายอมแพ้”
และนี่เป็นอีก นักเตะไทยลีก ที่ชื่อเขายังไม่ได้ถูกจารึกเป็น “ตำนาน” แต่เขาคือผู้เล่นอีกคนที่ควรศึกษาและในฤดูกาล 2019 นี้ต้องจับตาบทบาทของเขาในสนามแข่งให้ดี
ว่า “ศูนย์หน้าวัยเก๋า” เขาจะพาตัวเองไปถึงเป้าหมาย แห่งความภาคภูมิใจได้หรือไม่.
By BalckSugar