
ความล้มเหลวของ “ช้างศึก” กับ “แพะตัวที่ 4”
DST.News Report : บอกได้คำเดียวว่า “เละ” หลัง ทีมชาติไทยตกรอบรองชนะเลิศ เอเอฟเอฟ ซูซุกิ คัพ ด้วยน้ำมือของ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ซึ่งคงไม่ต้องไปฟื้นฝอย หาตะเข็บอะไรให้เสียความรู้สึก
แต่แน่นอนว่า เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ย่อมกระทบต่อความมั่นใจที่ยึดมั่นมาตลอดว่า “ข้านี่แหละคือจ้าวแห่งอาเซียน”
กับ ความอัปยศในครั้งนี้ จึงถูกตั้งคำถามและถามหา “คนรับผิดชอบ”
ซึ่งในความล้มเหลวนั้น อะไรเป็นจุดสำคัญที่พาไปสู่หลุมเหว และในนาทีนี้ ใครๆ ก็มองหา “แพะ”
“แพะ” ตัวแรกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “กุนซือดีกรีฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้าย” อย่าง “มิโลวาน ราเยวัช”
ที่โดนสับแล้ว สับอีก จนตอนนี้แทบจะกลายเป็น หมูบะช่อ ไปแล้ว ทั้งเรื่อง “แทคติคเกมรับ” ที่ทั้งบรรดา “กูรู” และ “กูไม่รู้” วิพากษ์กันอย่างสนุกปากว่า
ในเมื่อทัพ “ช้างศึก” มีศักยภาพตัวผู้เล่นดีกว่าชาติอื่นๆ แล้ว จะมัวเล่นเกมรับหาหอกอะไร ทำไมไม่เดินหน้าฆ่าให้ตาย เพื่อบั้นปลายจะได้ชูถ้วยแบบหล่อๆ
แต่เมื่อเหตุการณ์ “รถผ้าป่าคว่ำ” เกิดแล้ว ต่อให้จะจินตนาการว่า เรายิง เวียดนามครึ่งโหล ในนัดชิงชนะเลิศ ก็คงไม่มีค่าอะไร
นอกจากนี้ยังมีการขุดผลงานทีมชาติไทย นับแต่เจ้าตัวมาคุม เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2560 เป็นต้นมา พบว่า “ช้างศึก” ที่มี โค้ชเลือดเซิร์บ เป็น “ควาน” นั้น ลงเล่นไปแล้ว 19 นัด ชนะ 8 นัด เสมอ 5 นัด แพ้อีก 6 นัด
มีผลงานที่น่าประทับใจ อย่าง การตบเกาหลีเหนือในบ้าน 2-0 ,เข่น ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก 1-0, บุกทิ่มอินโดนิเซีย 4-2 พร้อม คว้าแชมป์คิงส์คัพ 2017 รองแชมป์คิงส์คัพ 2018 แต่ความดีความชอบเหล่านั้น มลายหายไปสิ้น เมื่อปิ๋วจาก ซูซุกิ คัพ
“แพะ” ตัวที่สองคือ “บิ๊กอ้อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ที่เข้ามาระหว่างช่วงที่กระแสบอลไทยกำลังฟื้นคืนศรัทธา ในยุคที่เรา มีโค้ชชื่อ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ผู้เข้ามากู้ศรัทธาฟุตบอลไทย ให้ฟื้นความนิยมอีกครั้ง
ผลงานทีมชาติไทยที่ดีขึ้น กระแสแฟนบอลที่กลับมา ผนวกเข้ากับผลงานอันดับ 4 เอเชียนคัพ ยิ่งทำให้ ตำนานทีมชาติไทยคนนี้ แทบจะถูกยกไปบูชาบนหิ้งพระที่บ้าน
แต่เมื่อผลงานรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกไม่เป็นไปตามเป้า “ความขลัง” เริ่มหมดไป คำชมเปลี่ยนเป็นเสี่ยงก่นด่า โดยเฉพาะเรื่องแท็คติค และการเลือกตัวผู้เล่น แบบเดิมๆ
ก่อนที่สุดท้าย เจ้าตัวจะตัดสินใจยุติบทบาทเอง โดยก่อนหน้านั้น มีหนึ่งวรรคทองจากปาก “บิ๊กอ้อด” ว่า “คิดเหมือนผมมั้ย ถ้าบอกว่าอยู่แบบนี้ ได้แชมป์ซูซูกิ คัพ, แชมป์ซีเกมส์ แต่รับได้ที่แพ้ทีมในระดับเอเชีย 0-3, 0-4 ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับผมบอกเลยว่าอาย”
ออกตัวแรงซะอย่างนี้มีหรือแฟนบอลที่กำลังช้ำเลือด ช้ำหนอง จะไม่หยิบมาขยี้
ยิ่งเมื่อเทียบกับคำพูดหลังเราตกรอบ ซูซุกิคัพ “ผลการแข่งขันเมื่อวานนี้เป็นเรื่องปกติของฟุตบอลที่มีแพ้มีชนะ” จนทำให้ “มิสเตอร์สมยศ” เป็นอีกหนึ่งผู้(ร่วม)รับผิดชอบ ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ “ซิโก้” กลับมาคุมทีมชาติอีกครั้ง
แต่ถึงแม้จะมีเสียงก่นด่า “ประมุขลูกหนัง” ดังแค่ไหนก็ตาม ต้องยอมรับว่า ทิศทางบอลไทย ดูมีความหวัง เมื่อ “บิ๊กอ้อด” นั่งแท่นบัญชาการ ทั้งปรับระบบบริหารจัดการ – สางปัญหา
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่ที่ต้องมาโดน “หางเลข” ไปด้วย ต้องยอมรับว่า เป็นเพราะ “ปากพาซวย” เท่านั้น
“แพะ” ตัวที่สาม คือ แข้งทีมชาติไทย ที่ลงเล่นในแมชต์พ่ายวันนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก “ทรรศนะของแฟนบอล” ที่เชื่อว่า “นักเตะไทย” เช้งกว่าชาติ ทั้งที่ มี 22 ขาเท่ากัน
ซึ่งความเชื่อแบบนั้น กลายเป็นเงื่อนรัดคอตัวเอง ว่าถ้วยนี้อย่างไรเสีย ไทยต้องได้แชมป์ ถ้าไม่ได้ เท่ากับล้มเหลว
แต่ดูทรงของบอล ด้วยแท็คติคโค้ชที่เน้นเกมรับ ทำให้แผงหลัง และ มิดฟิลด์ยืนต่ำ ไม่สามารถเชื่อมกับแนวรุกได้
แม้ ตัว AK9 – อดิศักดิ์ ไกรษร เองจะสามารถชิงจังหวะจากลูกกลางอากาศได้ แต่ไม่มีคนเก็บบอลจากแถวสอง ทำให้การสร้างสรรค์เกมไม่เกิด
ซ้ำร้ายยิ่งกว่า คือ แม้เราจะจอดรถบัสในบ้านตัวเอง แต่ก็ยังโดน อาคันตุกะสอยไปถึง 2 เม็ด ความแคลงใจจึงเกิดว่า ตัวผู้เล่นโดยเฉพาะแนวรับของเราเอง มีส่วนต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแมตซ์ ชี้ชะตะ จนกลายเป็น “ความล้มเหลว” ครั้งนี้หรือไม่
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนมองข้ามคือ การติดหล่มเรื่องการพัฒนานักเตะไทย จนทำให้ เรากำลังกลายเป็น “ทีมชาติอังกฤษ” แห่งอาเซียน
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ไทยลีก เป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค
เช่นเดียวกับ “พรีเมียร์ลีก” ที่มีสีสันจนเป็นที่ติดตามของคนทั่วโลก มีนักเตะคุณภาพต่างชาติหลั่งใหลเข้าทีมพรีเมียร์ลีก แต่ผลงานระดับทีมชาติ ไม่เคยประสบความสำเร็จ นับจากแชมป์โลกปี 1966
หากเจาะลึก “ทีมไทย” เห็นชัดว่า นักเตะต่างชาติผูกขาด ตำแหน่ง “กองหน้า” และ “กองหลัง” เพราะคุณภาพของนักเตะไทยกับต่างชาติยังมีช่องว่าง
มาถึงจุดนี้ DailySoccerThailand อยากชวนมอง ถึง “กู้วิกฤต” แฟนบอล จากประวัติศาสตร์บอลทีมชาติเยอรมัน
ที่ทีมชาติเยอรมันหลังตกรอบแบ่งกลุ่ม ในยูโร 2004 ถือว่าเป็นความล้มเหลวที่น่าเศร้า แต่จากจุดนั้น “เดเอฟเบ” จัดการรื้อระบบฟุตบอลในประเทศใหม่แทบทั้งหมด โดยเฉพาะระบบเยาวชน ที่นักเตะเยาวชนไม่ว่า จากสโมสรเล็กหรือใหญ่ ต่างเข้าใจระบบการเล่นบนพื้นฐานเดียวกัน ที่ “สมาพันธ์ฟุตบอล” ปูพื้นฐานไว้
และการปฏิวัติระบบฟุตบอลในประเทศ เขาใช้เวลาถึง10 ปี ก่อนทวงคืนความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นแชมป์โลกปี 2014
แล้วประเทศไทยหละ!!! จะฝ่าวิกฤตนี้อย่างไร จากจุดเริ่มที่ การวิพากษ์ โยนบาปให้กับ “แพะ”
แม้ตอนนี้ “หลายทีม” เริ่มตื่นตัวกับการดันเยาวชนของตัวเองขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ พร้อมพัฒนาระบบอคาเดมี่ แต่สิ่งเหล่านั้นอาจยังไม่พอ
หากเราไม่มองที่เป้าหมายบนจุดร่วม จุดเดียวกัน!!
แม้ “สมาคมฟุตบอล” ขอโอกาสได้แก้ตัว ลำพังเพียงองค์กรนำ คงทำไม่ได้!
เพราะทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ผ่านการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด หากทีมไทยแลนด์ ที่หมายถึง ทุก “สโมสรฯ” รวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อทำความฝันที่ไทยจะไปบอลโลก หากไม่ทำตอนนี้ กว่าไทยได้ไปบอลโลกจริง ทีมทวีปเอเชียอาจไปบอลจักรวาลกันหมดแล้ว.
ขอบคณ FA Thailand, FBซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, AFF Suzuki cup2018
By ใบไม้ห้าแฉก