• Home
  • Exclusive
  • ไม่มีเหตุผลจะท้อ “กิตติ กินโนนกอก” บอก ฝ่าฟันวันนี้ เพื่อ “พ่อ”

ไม่มีเหตุผลจะท้อ “กิตติ กินโนนกอก” บอก ฝ่าฟันวันนี้ เพื่อ “พ่อ”

By on November 19, 2018 0 2405 Views

DST.Exclusive : ฟุตบอลอาชีพ และ การได้ติด “ทีมชาติ” ถือเป็นความฝันของ ใครหลายคนในยุคนี้

และยิ่งสมัยนี้ ที่ “อาชีพฟุตบอล”​ เปิดกว้างมากขึ้น มีรายการแข่งขันทั้งระดับอาชีพ และ ระดับทั่วไปมากขึ้น

การไล่ตามความฝันของใคร อาจจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น

แต่ไม่ใช่สำหรับ เด็กคนนี้ “เจ้าปั้น – กิตติ กินโนนกอก” ดีกรีศูนย์หน้าเยาวชนทีมชาติไทย ที่เคยผ่านศึกระดับทีมชาติมาพอสมควร

เพราะแม้จะเคยผ่านศึกใหญ่ แต่ “กำปั้น” ยังคงต้องแสวงหาโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับตัวเอง

และที่เหนือไปกว่านั้น คือทำความฝันของ “พ่อ” ที่ฝากไว้ก่อนตาย!!

กับจุดเริ่มต้นที่ “เจ้าปั้น” เล่นฟุตบอลแม้จะเล่นตามประสาเด็ก เล่นเอาสนุก ไม่ได้ฝันไกลถึงเป้าหมายว่า ต้องติดทีมชาติ

แต่วันหนึ่ง ที่เขาได้คุยกับ “พ่อ – ไทย กินโนนกอก” ประโยคแรกที่ดังก้องในหัวใจ “เจ้าปั้น” คือ

“พ่ออยากเห็นลูกเล่นบอล ออกทีวี” ทำให้หมุดหมาย แค่ความสนุก ต้องเปลี่ยนไป!!

“ผมเป็นเด็กชัยภูมิครับ อยู่ อ.เกษตรสมบูรณ์ ตอนเด็กๆ จำได้ว่าพ่อชอบดูฟุตบอล และชอบฟุตบอล เราเล่นตามพ่อไป แต่ผมเล่นหลายกีฬานะครับ แต่มีครั้งหนึ่งพ่อบอกผมว่า อยากดูลูกในทีวี ตอนแรกผมไม่คิดอะไร จนพ่อผมเสียตอน ป.6 ทำให้ผมต้องมาคิดใหม่ โดยมีโจทย์ว่า ผมจะทำให้ความต้องการพ่อเป็นจริง แม้เขาจะไม่อยู่ดูผมตอนนั้นก็ตาม”

จากวันนั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ เด็กจาก อ.เกษตรสมบูรณ์​ ตัดสินใจค้นหาเส้นทางบรรลุฝัน เป้าหมายคือ “ติดทีมชาติ”

ในวัยที่ต้องเรียนต่อ มัธยม 1 เขาได้ทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนเทศบาลนครแหลมฉบัง3 เพราะรู้จักกับโค้ชของโรงเรียนที่เป็นคนแถวบ้าน และได้สัมผัสกับควมเป็นฟุตบอลระดับตัวโรงเรียน

แต่เมื่อโอกาสที่ได้รับ ไม่ใช่ “บันได” ใกล้ความฝัน “กำปั้น” จึงขอเปลี่ยนทาง มุ่งสู่หัวใจของการ “ปั้นดาวเตะ”

“ผมเลือกที่เรียนต่อใหม่ เป้าหมายคือ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ซึ่งเป็นสถาบันปั้นนักฟุตบอล อีกอย่างมีไอดอลด้านฟุตบอลด้วย คือ พี่ลีซอ ธีรเทพ วิโนทัยด้วย แต่ผมไม่มีเส้นสายอะไรนะครับ รู้ว่าโรงเรียนเปิดคัดนักเตะเพื่อเอาโควต้าเข้าเรียนผมแบกกระเป๋าเข้าไปคัดที่โรงเรียนทันที”

กับการไร้เส้นสาย ดังนั้นสิ่งเดียว ที่ “กำปั้น” จะไปถึงเป้าหมายได้ คือ ลุยต่อ แบบไม่รออะไร

แม้การแข่งขันจะสูงมาก แต่เขาได้สร้างความพร้อมให้ตัวเองแบบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์

“ก่อนไปคัด ผมซ้อมกับตัวเอง พวกพื้นฐานทั่วไป เดาะบอล ยิงบอล เพื่อทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น ควบคุมบอลได้แม่นยำมากขึ้น ผมซ้อมค่อนข้างหนักเพราะเป้าหมายของผมจะพลาดไม่ได้”

กับการพิสูจน์ตัวเอง ที่ “กรุงเทพคริสเตียน” เขาต้องผ่านบททดสอบขั้นมหาโหด ต้องลงสนามพิสูจน์หลายรอบ กว่าจะผ่านไปถึงจุดที่ “โค้ช” เชื่อสนิทใจว่า ไอ้หมอนี่มีแววรุ่ง!! และเป็นตัวความหวังพอจะ “ปั้น” ให้ประดับวงการฟุตบอลไทยได้

และเมื่อความพยายามเป็นผล “เจ้าปั้น” ได้รับโอกาส มีโควต้าเข้าเรียน แต่แค่นั้นยังไม่ทำให้เขาใกล้เป้าหมายแห่งฝัน

เพราะในศึกนักเรียนขาสั้น ด้านฟุตบอล ต้องมีการแข่งขันอีกหลายด่าน แม้กระทั่งจะส่งตัวเข้าแข่งขันรายการเล็กๆ ก็ตาม

“รุ่นผมมีนักเรียนประมาณ 30 คน ต้องแข่งขันกันพอสมควร เพื่อให้โค้ชได้เห็นว่ามีความพร้อมจะส่งแข่งขันรายการต่างๆ ผมไม่คิดว่าตัวเองเก่งมากจากไหน แต่เป้าหมายผมตั้งแต่ที่ได้โอกาสคือ ขอเป็น 11 ตัวจริง ดังนั้นผมต้องพยายามฝึกตัวเองให้หนัก”

สิ่งที่ “กำปั้น” ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรก ทำให้เขาประสบความสำเร็จในที่สุด

ทั้ง ถูกเลือกให้เล่นกีฬาฟุตบอลระดับอาชีพ ตั้งแต่ ม.4 ในนาม “บีซีซี เอฟซี” และกีฬารายการต่างๆ ที่โรงเรียนส่งแข่งขัน ทั้งรายการกรมพละศึกษา และรายการใหญ่สุด คือ “จตุรมิตรสามัคคี”

แต่มีรายการที่ “ศูนย์หน้ากรุงเทพคริสเตียน” ปลื้มและลืมไม่ลงที่สุด คือ มีชื่อติดทีมชาติ ชุดเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี รายการจ๊อคกี้คลับ แข่งที่ประเทศฮ่องกง และ รายการนั้น ทีมไทยแลนด์ได้เป็นแชมป์

ที่ได้มาด้วย “ความพยายาม” ของตัวเองล้วนๆ

“ผมเห็นเพจประกาศว่าจะคัดนักเตะทีมชาติ ผมไปกับเพื่อนครับ มาจากต่างจังหวัดลงรถทัวร์ได้ แบกกระเป๋าเข้าสนามคัคตัวทันที ตอนนั้นผมเพิ่งหายเจ็บด้วย เลยอยากพิสูจน์ตัวเองว่าจะทำได้ไหม จำได้ตอนนั้น ลงสนามทดสอบประมาณ 4 รอบ เล่นตำแหน่งปีกขวา ทั้งที่ตำแหน่งผมจริงๆ คือ ศูนย์หน้า แต่ทั้ง 2 ตำแหน่งไม่ต่างกันมาก ก็ทำให้เต็มที่ครับ ตอนนั้นคนไปเยอะมาก ความคาดหวังว่าผมจะติดนี่ 50:50 แถมคิดอีกว่าหากไม่ติดก็ไม่เป็นไร มาเอาประสบการณ์”

แต่ผลประกาศที่ออกมา คือมีชื่อ “กิตติ กินโนนกอก” ติดตัวทีมชาติ และมีชื่อไปแข่ง  นาทีนั้นเขาบอกกับตัวเองว่า “ต้องทำให้ดีที่สุด”

แต่กับสนามทีมชาติครั้งแรก เขาเป็นได้แค่ตัวสำรอง แม้มีโอกาสลงสนาม ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ

ตอนนั้น “เจ้าปั้น” บอกกับตัวเองว่า เพราะขาดประสบการณ์ อาจจะตื่นสนามและปรับตัวไม่ได้ แต่รอบหน้าหากมีโอกาสจะไม่ทำให้จุดอ่อน เป็นข้อบกพร่องอีก

จากความพยามและความตั้งใจที่สูงลิ่ว “เจ้าปั้น” ถูกเรียกติดทีมชาติอีกครั้ง แบบไม่ต้องไปคัดให้เสียแรงเปล่า

ทั้ง รายการนักเรียนไทย รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ไปแข่งที่ประเทศอิหร่าน, ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศการ์ตา และ ล่าสุด รายการ Hassanal Bolkiah Trophy for Asean Youth Football Tournament 2018 ที่ประเทศบรูไน​

“ผมใช้บทเรียนที่ติดทีมชาติรอบแรก เป็นแรงผลักดันให้ผมไม่เลิกพยายามและพัฒนาตัวเอง ตอนแรกสนามแรก ผมยอมรับว่า ตื่นสนาม ไม่มั่นใจเลย แต่พอมีชื่อติดทีมชาติอีก จึงพยายามแก้ไขข้อบกพร่อง และสร้างความมั่นใจให่้กับตตัวเองมากขึ้น ผมว่า เมื่อความมั่นใจเกิดขึ้น เรื่องของฟุตบอลจะเข้าทางเรามากขึ้น”

และจากประสบการณ์ที่ลองสนาม กับ “คู่แข่ง” ที่หลากหลาย ทำให้ “กำปั้น”​ พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อมาพัฒนาตัวเอง

“ตอนไปอิหร่าน ผมเจอคู่ต่อสู้ที่ตัวสูง ร่างใหญ่ พละกำลังมหาศาล ความสามารถเฉพาะตัวสูง ผมรู้ว่าสู้ไม่ได้ตรงไหน พอกลับไทย ต้องพัฒนาจุดที่เรายังสู้เขาไม่ได้ หรืออย่างไปเจอทีมระดับเอเชีย ตัวเท่ากัน แต่เรายังสู้เขาไม่ได้ ต้องคิดแล้วว่าตรงไหนที่เรายังไม่ดีพอ กลับมาพัฒนาตรงนั้น และยิ่งตำแหน่งที่เล่นหน้าแล้วด้วย มันหยุดพัฒนาไม่ได้”

อีกด้านกับเส้นทางฟุตบอลอาชีพ อย่างที่บอกไปว่า สโมสรแรกของ “กำปั้น” คือ บีซีซี เอฟซี ที่เล่นในไทยลีก 4 แต่เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เขาอยู่ภายใต้สังกัด “นักรบรวงทอง- อ่างทอง เอฟซี”

แต่ไปมีบทบาทเด่น ที่ “สีหมอก เอฟซี” ทีมระดับไทยลีก 3 ในครึ่งหลังของฤดูกาล 2018 เพราะสัญญายืมตัว ซัดไป 6 ประตู

ทำให้ “เจ้าปั้น” ได้เรียนรู้ไปอีกระดับว่า “การเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้ว และมีวินัยในตัวเองรักษามาตรฐานตัวเองให้ได้ คือ หัวใจสำคัญที่สุด ของการยืนหยัดบนอาชีพฟุตบอล​ได้อย่างมืออาชีพ”

จากแรงผลักดัน บนความรับผิดชอบต่อสัญญากับ “ผู้มีพระคุณ” วันนั้น ทำให้ “เจ้ากำปั้น” มีวันนี้ แต่สิ่งสำคัญที่เขามาถึงวันนั้นได้ คือ การไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

แม้ระหว่างทาง ตั้งแต่จุดเริ่ม มาถึงวันนี้ จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมาหลากหลายรูปแบบ สิ่งสำคัญที่ “เจ้าปั้น” ใช้เตือนเองอยู่เสมอ คือ คำว่า “พ่ออยากเห็นลูกออกทีวี”

และเพื่อให้ได้ “ออกทีวี” เขาจึงต้องพยายามฝ่าทุกอุปสรรค เพื่อให้กลายเป็น “นักฟุตบอลแถวหน้า” ที่ถูกจับตาและจับจ้อง

ด้วยความไม่ยอมท้อกับอุปสรรค แม้จะต้องทำให้เขาเผชิญกับ บาดแผลที่เจ็บสาหัส แต่เมื่อ “คำสัญญา” กับ “พ่อ” ยังดังก้องหัวใจ คงไม่มีอะไรที่ ลูกผู้ชายชื่อ “กิตติ กินโนนกอก” จะไม่ฝ่าฟัน

และเชื่อว่า น้องๆ ที่กำลังไต่ฝัน จะคิดเหมือนเขาเช่นกัน.


ขอบคุณ สโมสรอ่างทองเอฟซี, FA Thailand

By BlackSugar

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *