
แข้งเหล็กช้างเผือก “ฉัตรชัย นาควิจิตร” ตั้งคำถาม จนได้ดี
DST.Exclusive : ใครๆ ก็ขนานามให้ “ฉัตรชัย นาควิจิตร” กองหน้า “ช้างเผือก – เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด” เป็นเทพเจ้าลีกล่าง หลังใช้แข้งเหล็ก ซัดประตูคู่แข่ง เก็บแต้ม โฉบตั๋วเลื่อนชั้นจาก T 3 ไป T2 ได้ในฤดูกาลนี้
แต่ ความสำเร็จที่เขาร่วมนำพา ใครบ้างจะมองย้อนไปถึง เบื้องหลัง ว่า กว่าที่เขาจะมีวันนี้ ถูกโลกฟุตบอลจารึกชื่อ เป็นผู้เล่นหลัก พา “ทีมฟุตบอลถึง4สโมสร” เลื่อนชั้นได้ เขาต้องผ่านบททดสอบอย่างหนัก
ขาหัก 2 ครั้ง, เอ็นเข่าซ้ายขาด อีก 1 ครั้ง และชีวิตวัยเด็ก ช่วงก้าวสู่ถนนสายฟุตบอลใหม่ๆ เขามีสภาพไม่ต่างจาก “เด็กไร้บ้าน”
ในมุมเบื้องหลัง ที่โลก ยังไม่รู้ DailySoccerThailand มีสิ่งเหล่านั้นนำเสนอ
กับจุดเริ่มต้นความฝัน ของ “นักฟุตบอลฝีเท้าฉกาจ” เจ้าหนุ่ม บอกว่า เกิดตอนที่เขาอายุ 7 ขวบ หลังเห็น “เดวิด เบคแฮม” โชว์ลีลาผ่านเกมแข่งขันฟุตบอลรายการระดับโลก สร้างความประทับใจ และผุดความคิดเป็นนักฟุตบอล วนเวียนอยู่ในหัว ซึ่งเขาพาตัวเข้าสู่โลกของฟุตบอลแบบเด็กๆ หลังจากนั้นทันที
ความฝึกซ้อมแบบเด็กๆ ผสมกับความรักฟุตบอล ทำให้ เด็กบ้านนอก จาก อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย มีทักษะพอตัว ไต่เต้าเป็นนักฟุตซอลของจังหวัด และถูกส่งตัวแข่งรายการของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อกว่า10ปีที่แล้ว
ด้วยลีลาที่เกินเด็ก ประกอบกับโอกาสมาเยือน หลัง แมวมองจาก “โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว” มาดูตัวและประทับใจ จึงชักชวน “เจ้าหนุ่ม” เข้าสังกัด และเขาคว้าโอกาสนั้นแทบจะทันที
“เป็นความฝันของผมเลยที่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลแบบจริงจัง ผมเก็บเสื้อผ้าย้ายเข้าโรงเรียนประจำ แทบไม่ได้กลับบ้านที่สุโขทัยอีก จำได้ว่า ปีหนึ่งได้กลับที หรือ แทบไม่ได้กลับเลย เพราะอยู่กับฟุตบอลตลอด”
จากเวทีของราชวินิตบางแก้ว ที่เป็นโรงบ่มแข้งดาวรุ่ง และส่งเด็กแข่งหลายรายการ กับสนามที่อยู่ในความทรงจำ คือ รายการฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7 สี ปี 2005 ที่ ราชวินิตบางแก้วเป็นแชมป์ และ “ฉัตรชัย นาควิจิตร” ขึ้นทำเนียบดาวซัลโว ซัดประตูสูงสุดไป 18 ลูก
หลังเวทีแชมป์กีฬา7สี ทำให้ “ฉัตรชัย” ถูกหลายสโมสรทาบทามให้เข้าสังกัด แต่มีเพียง ทีมเดียวเท่านั้นที่เขาเลือก คือ “บีอีซี เทโรศาสน” แต่ไม่ใช่เพราะ “ข้อเสนองาม” กว่าทีมอื่น แต่เป็นเพราะความอยากใกล้ชิด ไอดอลของเขา คือ “แบน – รัชตวัน(ตะวัน) ศรีปาน” อดีตนักกีฬาทีมชาติไทย
“พี่แบน คือ ต้นแบบของผม เขาเป็นสุภาพบุรุษทั้งในและนอกสนาม ผมชอบสไตล์การเล่น ตอนที่เลือกเข้าทีมบีอีซี เทโรฯ เพราะพี่เขา พอได้เข้าทีมพี่เขาสอนผมทุกอย่าง ถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด สิ่งที่พี่เขาสอนและทุกวันนี้ผมยังจำและยึดถือเสมอ คือ ต้องมีสติกับการเล่น”
นอกจากนั้น ในโอกาสของ “เด็กนักเรียนใส่ขาสั้น” ได้เรียนรู้เมื่อเข้าสโมสรอาชีพ ระดับท็อปของประเทศแล้ว คือ การได้เรียนทักษะ และฝึกซ้อม แบบมาตรฐานลูกหนังสากล และสิ่งที่เขาประทับใจอีกอย่าง หลังจากเข้าสังกัด “บีอีซี เทโรฯ” แล้ว คือ “การสอนของโค้ชต่างชาติ”
“บทเรียนแรกของผม ถูกตั้งคำถามจากโค้ชต่างชาติ ว่า เล่นฟุตบอลเพื่ออะไร คือ เขาสอนให้เรามีเป้าหมาย หากเรารักในสิ่งที่เราทำ เราต้องพยายามและทุ่มเทเพื่อให้ประสบความสำเร็จ กับคำถามนั้น จนถึงวันนี้ ผมยังเอามาถามตัวเอง ช่วงที่ผมท้อแท้ และเหนื่อยล้า”
กับบทสรุปที่เขาได้ หลังเจอภาวะไปต่อไม่ได้ คือ “ท้อ” คือ สิ่งที่ลิงเอาไว้ถือ ส่วนบทบาทของ “ฉัตรชัย” คือ ก้าวไปข้างหน้า
จากคำถามที่ถูกตั้งในวันนั้น ทำให้ “เจ้าหนุ่ม” มีกำลังลุกขึ้นยืน ต่อให้ผ่านการหกล้มมานับครั้งไม่ถ้วน และจากการบาดเจ็บระดับร้ายแรง “แข้งขวาหัก” จนถึงขั้นใส่เหล็กดามไว้ เพื่อให้แข้งถนัดยังใช้งานต่อ
“ช่วงนั้น เป็นจังหวะบวกกันสนาม สมัยอยู่ บีอีซี เทโรศาสน นาทีนั้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ ร้องไห้เลย เมื่อรู้ว่าเราเล่นบอลต่อไม่ได้แล้ว ขาหักรอบนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ครั้งแรก ตอนเล่นฟุตบอล 7 สี ขาซ้ายหัก แต่นี่เล่นระดับอาชีพ ผมคิดว่าจะสูญเสียทุกอย่างจากสิ่งที่ผมรักไปแล้ว แต่พี่ๆ ในทีม โดยเฉพาะพี่แบนบอกให้ผมอดทน เดี๋ยวก็หาย”
ตอนนั้น “เจ้าหนุ่ม” ใช้เวลาพักฟื้นกว่าครึ่งปี และกลับลงสนามได้อีกครั้ง เพราะกำลังใจ และความศรัทธาในตัวเอง พร้อมกับหมั่นดูแลร่างกาย เข้าฟิตเนส ทำกายภาพบำบัดตามที่หมอแนะนำ
กับเหล็กที่เขาใส่ดามกระดูกไว้ ทำให้เขาได้รับฉายาจากเพื่อนๆ ว่า “นักเตะแข้งเหล็ก” ซึ่งคำล้อนั้นเป็นใครคงน้อยใจ เพราะเหมือนเป็นคนไม่ปกติอีก แต่มุมมอง “ฉัตรชัย” มองว่านี่แหละคือของดี ที่ทำให้เขาวิ่งได้สุดพลัง
ความไม่กลัว และทัศนคติด้านบวก ทำให้ “ฉัตรชัย” กลายเป็นศูนย์หน้า ช่วยพาทีมที่เขาเคยสังกัด เลื่อนชั้น ไล่มาจาก “เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด” – “สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด” – “เชียงใหม่ เอฟซี” และ “เจ แอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด”
“เอาจริงๆ เส้นทางบอล ของผมไม่ได้สวยหรู หรอก มีหลายครั้งที่ผมพลาด ผมโทษตัวเอง ผมไม่ให้อภัยตัวเอง แต่ด้วยสิ่งที่เราต้องแบก ความรับผิดชอบที่ผมทิ้งไม่ได้ ทำให้ผมมองแค่เป้าหมายข้างหน้า ว่า เราทำเพื่ออะไร ยิ่งตอนนี้ ผมเป็นรองกัปตันทีมเจแอล เชียงใหม่ฯ แล้วด้วย ต้องมีวุฒิภาวะสูงกว่าใครเพื่อน”
กับเคล็ดลับความสำเร็จ คือ ความขยัน และ อดทน ต่อให้เจอเรื่องท้อเท่าไร “ฉัตรชัย” เลือกจะตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า เล่นบอลเพื่ออะไร? สำหรับคำตอบที่เขาได้ คือ สิ่งที่ผลักเขาขึ้นสู่ทางบอลที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งยากจะมีใครทำได้อย่างเขา
เรื่องโดย… BlackSugar
ขอบคุณ สโมสรฟุตบอล เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด