บนถนนฟุตบอล15ปี “อมร ธรรมนาม” สำเร็จได้ เพราะไม่หยุดพัฒนา
DST.Exclusive : เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นคนสำคัญ สำหรับ “ทีมต่อพิฆาต – ประจวบ เอฟซี” ที่ได้ ติด Top3 ผู้ทำประตูสูงสุด ฝั่งนักเตะไทย ของไทยลีกฤดูกาล 2018 แม้เกมลีกจะเหลืออีกหลายนัด และยังไม่รู้ว่าบทสรุปดาวซัลโว ฝั่งไทย จะเป็นผู้ใด
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า การรั้งอันดับ คนทำประตูมากๆ ในไทยลีก ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ก หรือ ทำได้ง่ายๆ
กับ “อมร ธรรมนาม” กองหน้าธรรมชาติ ที่ปัจจุบัน เล่นตำแหน่งปีก ให้กับ ทีมพีที ประจวบ เอฟซี ที่DailySoccerthailand จัดอันดับTop3 ผู้ทำประตูรวมสูงสุดฝั่งคนไทย กว่าเขาจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่ ผู้ที่เดินบนถนนลาดยาง เช่นกัน
เกริ่นเรื่องกันก่อน กับ “อมร” นักเตะวัย 34 ปี ที่โลดเล่นบนเส้นทางค้าแข้งนาน กว่า 15 ปี เขาผ่านงาน หลายสโมสร หากนับตั้งแต่ปีแรก ที่ “วิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพ” (ก่อนเปลี่ยนเป็น มหาวิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพในปัจจุบัน) ในนามตัวมหาวิทยาลัย จนถึง “พีที ประจวบ เอฟซี” ปีนี้ รวมแล้ว 10 ทีม
แต่จุดเริ่มต้นของเขา อย่างที่บอกว่า ไม่ใช่คนที่เดินบนถนนเส้นนี้มาอย่างสบาย แต่เต็มไปด้วยบททดสอบที่ต้องฝ่าฟัน
วัยเด็ก ของ “อมร” อยู่ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา จุดเริ่มของความ “อยาก” เป็นนักฟุตบอลอาชีพ มาจากการติดตามรายการ “เจาะสนาม” รายการกีฬาที่เป็นยอดนิยมในช่วงนั้น
“ผมดูรายการทีวี แล้วอยากเป็นนักกีฬาอาชีพ จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียน เตะบอลแบบเด็กๆ ไม่มีโค้ชสอนเป็นเรื่องเป็นราว แต่จุดที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าฝึกฟุตบอลแบบมืออาชีพ เพราะพี่โป้ง – กฤษณ์ สิงห์ปรีชา อดีตนักเตะ ที่ผันตัวเป็นโค้ชให้กับวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ”
ตอนนั้นถือเป็นจังหวะดี ที่ “โค้ชโป้ง” พักร้อนกลับมาบ้านที่ โคราช และเห็นเด็กหนุ่มจับกลุ่มเล่นฟุตบอลแถวบ้าน จึงขอเล่นด้วย พร้อมกับ เป็นโค้ชสมัครเล่นไปในตัว ทำให้ “อมร” ได้ฝึกทักษะเด็ด เสริมเขี้ยวเล็บเป็นนักเตะจอมแกร่ง และเมื่อเรียน จบ ม.6 เขาจึงถูก “โค้ชโป้ง” ชักชวนให้ไปร่วมทีม
แต่กว่าเขาจะตัดสินใจ หอบกระเป๋า เข้ากรุงเทพฯ ได้ต้องฝ่าด่านทดสอบใจ
“ครอบครัวผมฐานะลำบาก ดังนั้นการจากบ้านไปเรียนในเมืองหลวง จึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ผมรู้ตัวเองดี จึงปฏิเสธพี่โป้งไปหลายรอบ แม้เขาจะบอกว่าได้โควต้าเรียนฟรีจนจบ ปริญญาตรีก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนจากละทิ้งโอกาส ไปคว้าโอกาส ต้องขอบคุณเพื่อนคนหนึ่ง ที่ถูกชวนไปเรียนในกรุงเทพเหมือนกัน วันที่เขามาที่บ้าน เพื่อบอกผม ว่าจะไป แววตาเขามุ่งมั่น และมีความทะเยอทะยานอยากไปตามความฝัน ทั้งที่วัดฝีมือกันแล้วเขาสู้ผมไม่ได้เลย”
วันที่ “อมร” ตัดสินใจว่าจะไป เขาเข้าไปคุยกับแม่อีกครั้ง ซึ่งแม่ถามเขาคำเดียวกว่า “อยากไปหรอ” คำตอบที่เขาให้ตอนนั้น คือ “ใช่”
“แม่ผมไม่ว่าอะไร ผมจึงตัดสินใจจัดกระเป๋า ตีตั๋วเที่ยวเดียวเข้ากรุงเทพ และก่อนวันขึ้นรถทัวร์ แม่เอาเงินมาให้ผมติดตัว ประมาณ 5,000 บาท ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า เป็นเงินที่แม่ไปยืมจากข้างบ้านมาให้ผม เพื่อให้ผมได้ไปทำความฝันให้เป็นจริง”
กับชีวิตรั้วมหาวิทยาลัย เขาทุ่มเทให้กับฟุตบอลไปพร้อมกับการเรียน และด้วยฝีเท้าที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้เขาถูกชวนเข้าสังกัด “สโมสรกีฬาเซ็นทรัล” ยุคที่คุมทีมโดย “โค้ชโก้ -โกสินทร์ ดีมาก (ปัจจุบันเปลี่ยน ชื่อเป็น “ฐาปกรณ์”)
“ช่วงเล่นบอลตอนนั้น ทั้งนักกีฬามหาวิทยาาลัย และ สโมสรอาชีพ ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก เหนื่อยแบบสาหัสด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่จุดนั้นทำให้ผมรู้ว่านักกีฬาอาชีพต้องรักษาวินัยเป็นสำคัญ ทั้งวินัยในการฝึก และรับผิดชอบต่อเกม ผลการแข่งขัน เมื่อสโมสรจ้างเรา แม้จะเป็นแค่เบี้ยเลี้ยงวันละ 200 บาท เขาย่อมหว้งผลต่อเกมแข่งขัน ดังนั้นเราจะทำเล่นๆ ไม่ได้” อมร ระบุ
เมื่อฟุตบอล กลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความจริงจัง นั่นหมายความว่า “ภาวะกดดัน” ย่อมมีมากขึ้นด้วย ทำให้เขาในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องพยายามหนักกว่าแข้งรุ่นพี่มากประสบการณ์เป็นหลายเท่า
“เกมแข่งนัดแรก ไม่เข้าใจกับคำว่า ฟุตบอลระดับอาชีพ เล่นกันยังไง ผมเหมือนเด็กที่เพิ่งเปิดตาสู่โลกกว้าง ทั้งประหม่า และตื่นเต้น เกมแรกต้องเจอกับทีมเต็งแชมป์ด้วย คือ ทีมชลบุรี ขณะที่ทีมเราเป็นม้านอกสายตา แต่ผมยอมรับว่าเกมแรกผมดับความตื่นสนาม และอาการประหม่าได้ด้วยความอยากเรียนรู้ และ เล่นให้สนุก”
กับเกมแรกระดับอาชีพของ “นักเตะบ้านนอก” เขาทำผลงานด้วยซัดประตูทีมชลบุรีในช่วงท้ายเกมและส่งผลให้ทีมที่ตกเป็นรอง พลิกกลับมาชนะได้
นับจากเกมนั้น ชื่อของ “อมร” เด็กหนุ่มจากเซ็นทรัล ถูกถามถึง และเป็นที่รู้จักของคู่แข่ง และจัดให้เป็น “แข้งอันตราย” พร้อมกับได้รับฉายาว่า “นานี่ เมืองไทย” ซึ่งล้อมาจาก หลุยส์ นานี่ แข้งเก่งอดีตผู้เล่นของปีศาจแดง
“อมร” สังกัดอยู่ “สโมสรกีฬาเซ็นทรัล” เกือบ 2 ปี ก่อนย้ายตัวเอง ไปเล่นให้กับ “สโมสรการบินไทย” ทีมระดับดิวิชั่น1 ช่วงสั้นๆ ก่อนจะผันตัวเองไปเล่นให้กับ สโมสรพัทยา ยูไนเต็ด ทีมระดับไทยลีก
กับ “พัทยา ยูไนเต็ด” ถือเป็นเวทีแจ้งเกิดอย่างแท้จริงสำหรับ “นักเตะบ้านนอก” ให้กลายเป็น “ดาวรุ่ง” ลีลาโดดเด่น เพราะเขาเป็นที่รู้จักของแฟนบอลในบ้านและทีมคู่แข่ง โดยสิ่งที่พัฒนาให้แจ้งเกิดได้ “อมร” ยกความชอบให้กับสโมสร ที่มีความเป็นมืออาชีพ มีทีมงานเปี่ยมศักยภาพ ทั้งการซ้อม ดูแลนักกีฬา มีระบบการเล่น ที่ทำให้นักเตะได้เรียนรู้และพัฒนา
และในปีนั้นเอง “อมร” ถูก “แมวมองจากทีม เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด” สโมสรฟุตบอลระดับหัวกะทิของไทยลีก ทาบทามให้เข้าสังกัด ด้วยค่าตัวที่สูงถึงเลข6 หลัก
กับเป้าหมายที่เขาวางไว้ในชีวิต คือการพัฒนาไปข้างหน้า ยกระดับตัวเอง จึงทำให้เขาตัดสินใจขอย้ายตัวเอง แต่ก่อนจะอำลา “พัทยา ยูไนเต็ด” เขาตอบแทนทีมต้นสังกัด ที่ดูแลเขา ด้วยการพาทีมรอดโซนตกชั้นได้สำเร็จ
กับความคิดของ “อมร” ที่อยากพัฒนาตัวเอง ซึ่งใครหลายคนมองว่า คือ การพิสูจน์ตัวเองในสนามแข่งขัน แต่เมื่อเขาเข้าสังกัด “กิเลนผยอง” แล้ว กลายเป็นว่า เขาต้องไปต่อคิวอีกหลายแข้งที่ถูกเรียกเข้าสังกัด ขณะเดียวกันต้องแข่งขันกับคนอื่นๆ ไม่มีตั๋วพิเศษ หรือ สิทธิพิเศษที่ได้ลงสู่สนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงในทันที
“ผมยอมรับว่าต้องแข่งขันกับใครอีกหลายๆ ในทีมเช่นกัน แต่ผมไม่กดดันตัวเอง เพราะยังมีสิ่งที่ผมคิดว่าต้องเรียนรู้ ผมอยู่เมืองทองฯ แบบไม่มีดีกรีอะไรเลย ผมต้องเข้าระบบแข่งขัน ต้องปรับตัว และสู่ เหมือนคนอื่นๆ แต่ยังโชคดีที่ปีที่ผมไปอยู่ เขาส่งแข่งหลายรายการ บอลถ้วยบ้าง บอลอาชีพบ้าง ทำให้ผมยังมีเวทีเรียนรู้และพัมนาตัวเอง”
กับการเข้าสังกัดเมืองทองฯ ยุคนั้น ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ของเขา เพราะเป็นปีที่เมืองทอง ได้แชมป์รายการอาชีพ
แต่ชีวิตของ “อมร” ไม่ได้หยุดไว้แค่ “กิเลนผยอง” เพราะอาจด้วยตัวเลือกที่เต็ม ทำให้เขาถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ “สโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี” เพื่อกู้สถานการณ์และปรับปรุงทีม และด้วยผลงานดี ทำให้ “สุพรรณบุรี เอฟซี” ขอซื้อตัว ก่อนจะถูกทีมขายให้กับ “สโมสรโปลิศ เทโร เอฟซี”
แต่ด้วยเส้นทางฟุตบอลที่มีวิถีทางของมัน ในยุคที่เขาเล่นให้กับ “โปลิศ เทโร เอฟซี” เขารู้ซึ้งถึงข้อดี เพราะด้วยสถานการณ์ฟุตบอล ที่มองว่า “นักเตะ” คือ มูลค่า ทำให้เขาถูกต้นสังกัด กดดันให้เปลี่ยนสโมสร ผ่านการซื้อ-ขาย แต่เมื่อเขาไม่ยอม ทำให้ถูกกดดัน ด้วยปฏิบัติการจิตวิทยา ไม่ให้มาซ้อม
“ผมยอมรับว่ารู้สึกแย่ แต่ผมยึดถือคติส่วนตัวว่า ทุกอย่างต้องมองแบบมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ ดังนั้นเมื่อผมไม่ยอม คงไม่มีใครบังคับได้ ผมจึงปฏิเสธการเจรจารอบนั้น และเล่นให้กับทีมต้นสังกัดอย่างเต็มที่เหมือนเดิม จนจบฤดูกาล ซึ่งปีนั้นหมดสัญญาพอดี เราจึงแยกย้ายไปตามทาง แบบจากกันด้วยดี”
จากนั้นเส้นทางชีวิต เขาดำเนินต่อ ที่ “ทีมราชนาวี เอฟซี” และฝากผลงานช่วยทีมราชนาวี รอดตกชั้น เขายังต้องไปต่อกับทีมใหม่ในโซนอีสาน คือ “ขอนแก่น ยูไนเต็ด”
ก่อนจะเผชิญมรสุมลูกใหญ่ “ขอนแก่น” ถูกเกมบังคับให้ต้อง “ยุบ” เพราะมีส่วนพัวพันกับข้อกล่าวหา “ทำร้ายกรรมการ” ทำให้ในปีนั้น ”อมร” กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด สิ่งที่เขาพยายามสร้าง ทุ่มเทมาทั้งหมด พังเหลือ “ศูนย์”
“หลังจบที่ขอนแก่น ผมพยายามหาสโมสรใหม่อยู่ แต่ไม่มีสังกัดไหนตอบรับ เขาให้เหตุผลว่าอายุผมเยอะแล้ว เขาอยากได้นักเตะที่อายุน้อย ฟอร์มสด ผมเคว้งไปพักใหญ่ จนต้นฤดูกาล 2016 ที่ สโมสรพีที ประจวบ ทีมไทยลีก2 ติดต่อมา ด้วยใจที่ผมยังรักฟุตบอล และอยากทำให้คนเห็นว่า ผมยังไม่หมดไฟ แม้หลายคนจะปรามาสว่าอายุเยอะ ผมจึงตอบรับ และปีนั้นถือเป็นความภูมิใจที่ผมมีส่วนช่วยพาทีมไปเล่นไทยลีกได้”
กับความระหกระเหินถึง 10 ทีมอาชีพ ในช่วง 15 ปี “อมร” บอกว่า นี่คือ เสน่ห์ของชีวิต และเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบตัวเอง ว่ามีสิ่งใดที่ขาด ต้องต้องเติมเต็มอะไร เพื่อรักษาฟอร์มการเล่น
“เป้าหมายของผม คือ ได้เล่นบอลระดับอาชีพ ด้วยความเป็นมืออาชีพ ดังนั้นต่อให้จะย้ายไปอยู่ทีมเล็ก หรือทีมระดับไหน ผมยังคิดเสมอว่า ต้องทำให้ดี และสร้างผลงานให้ได้ตามเป้าหมายที่ทีมวางไว้ กับทีมพีที ประจวบ ฤดูกาลนี้ก็เช่นกัน ที่ผมหวังว่าจะพาทีมให้ประสบความสำเร็จให้มากที่สุด”
ซึ่งตอนนี้ ยอมรับว่า เส้นทางอาชีพของ “อมร” กลับสู่จุดที่หอมหวานอีกครั้ง และถือเป็นก้าวหนึ่งของชีวิตที่เขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้เมื่อ กว่า 15 ปีที่แล้ว
ขณะที่เงินก้อน 5,000 บาท ที่แม่ขอยืมจากเพื่อนบ้าน “แข้งเก่งต่อพิฆาต” บอกว่า เป็นจุดต่อยอด ทำให้เขามีชีวิตวันนี้ และจากเงินหลักพัน ที่จ่ายเป็น ค่าความฝัน วันนี้เขาทำให้มันงอกเงย เป็นบ้านหลังงามให้พ่อกับแม่ ที่ปักธงชัย และใช้ฟุตบอล หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว
ในวันหนึ่งที่ “อมร” ประสบความสำเร็จ เขากลับบ้านและเอ่ยปากกับ แม่ถึงเรื่องในอดีต ซึ่งแม่เขาบอกกลับมาประโยคเดียวว่า “ดีแล้ว ที่เป็นคนดื้อ”
เพราะหาก “อมร” ไม่ตัดสินใจ เข้าไปขอโอกาส อีกครั้ง เราอาจไม่มี “อมร” ปีกจอมเก๋า แห่งทีม พีที ประจวบ เอฟซี อย่างในวันนี้
สุดท้ายของเรื่องนี้… สำหรับใครที่มีความฝัน จงลองและพยายามทำมันให้สุด เพราะหากไม่ลอง จะรู้ได้อย่างไรว่า ฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ เหมือนอย่าง “อมร ธรรมนาม” ที่เขามีฝัน และพยายามทำในทุกๆวินาที ให้สำเร็จ.
เรื่องโดย….BlackSugar