- Home
- Special Report
- “มาโน โพลกิ้ง” ราชันย์ไร้มงกุฎ
“มาโน โพลกิ้ง” ราชันย์ไร้มงกุฎ
DST.News Report : ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครในวงการฟุตบอลไทยที่สงสัยในความสามารถของ “มาโน่ โพลกิ้ง” เฮ้ดโค้ชเลือด บราซิล-เยอรมัน วัย 43 ปี
ที่มาพร้อมบอลสไตล์ “เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยง” หากโดนยิง ก็ต้องยิงให้มากกว่า ที่สามารถซื้อใจแฟนบอลทีมต่างๆที่เจ้าตัวเคยคุม ทั้ง อาร์มี่ ยูไนเต็ด,สุพรรณบุรี เอฟซี และ ทรู แบ็งค็อก ยูไนเต็ด
และกว่าจะเป็น “มาโน โพลกิ้ง” อย่างที่แฟนบอลชาวไทยรู้จัก มีหลายเรื่องต้องจารึกไว้
อดีตมือขวา “วินเฟรด เชเฟอร์”
โค้ชเยอรมันผู้(เกือบ)ปลุกวิญาณช้างศึกกลับมาได้สำเร็จ นับว่ามีประสบการณ์ระดับสโมสรในประเทศไทยมาอย่างโชกโชนนับแต่เริ่มจับงานโดยการเป็นหัวเรือหลักกับ “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” ในวันที่ 31 ต.ค. 2012 ฝากผลงาน ชนะ 18 เสมอ 10 แพ้ 11 จาก 39
ก่อนที่ “ช้างศึกยุทธหัตถี” หนึ่งในทีมที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจบอลไทย ขณะนั้นดึงตัวไปร่วมทีม แต่เจ้าตัวมีโอกาสคุมเพียง 15 นัด เขาสามารถเก็บชัยได้เพียง 7 นัด เสมอและแพ้อีกย่างละ 4
แม้ผลงานอาจจะไม่ได้ย่ำแย่ แต่ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของบอร์ดบริหาร สุพรรณบุรี เอฟซี ณ ตอนนั้น
ก่อนที่ต้นสังกัดปัจจุบันของเจ้าตัวอย่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จะได้เจ้าตัวไปคุมทีมในเลก 2 ของฤดูกาล 2557 ก่อนจะจบฤดูกาลนั้นด้วยผลงานอันดับ 8
แต่ในปีนั้นยังคงเห็นภาพไม่ชัดนักเนื่องจากเจ้าตัวเพิ่งมีโอกาสคุมทีมเพียงแค่ครึ่งเลก
ก่อนในปี 2558 เจ้าตัวจะมีโอกาสคุม “แข้งเทพ” เต็มๆเป็นปีแรก พร้อมการประกาศศักดาทันที เมื่อพาทีมจบอันดับ 5
และทำให้วงการฟุตบอลไทย รู้จักกองหน้าที่ชื่อ “ดราแกรน บอสโควิช” ดีกว่าเดิมหลังย้ายมาจากสุพรรณบุรี เอฟซี เมื่อเจ้าดาวยิงมอนเตเนกริน คว้าตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร จากการยิง 13 ประตูในลีก
ส่วนรางวัลจอมแอสซิสต์ ตกเป็นของ “สรรวัชญ์ เดชมิตร” ที่ทำแอสซิสต์ไป 9 ครั้ง
ฤดูกาลต่อมาเขาทำให้ “แข้งเทพ” เป็นทีมที่ทุกทีมในประเทศห้ามมองข้ามอีกต่อไป
ปีนั้น “มาโน” พาทีม จบอันดับ 2 เป็นรองแชมป์ต่อจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด นอกจากนี้ยังพกสถิติยิงประตูมา 71 ลูกมากเป็น อันดับ 2 ของลีก รองจาก “กิเลนผยอง” เพียง 2 ลูกเท่านั้น โดยมีแมตซ์ที่ทำประตูขาดที่สุด คือ การเปิดบ้าน ยำ “ศรีสะเกษ เอฟซี” ไปด้วย สกอร์ 6-1 และฤดูกาลนั้น ดราแกรน รั้งรองดาวซัลโว ด้วยผลงาน 20 ประตู
ฤดูกาล 2560 ถือเป็นปีที่เครื่องหมายการค้าของ “มาโน” เปร่งประกายที่สุด ด้วยการพาทีมจบอันดับ 3 ทำประตูได้มากถึง 97 ประตู จาก 34 นัด แม้ปีนั้น พวกเขาจะแพ้ถึง 10 นัด
แต่ “ดราแกน บอสโควิช” ได้รับสถาปนาขึ้นมาเป็นดาวยิงเบอร์ 1 ในไทยลีกอย่างเต็มตัวเพราะกดไปถึง 38 ลูก
ด้วยสถิติต่างๆเหล่านี้สามารถบอกได้ว่า “มาโน่” นั้นมีสไตล์การแก้เกมแบบ “ตายกันไปข้าง” ไม่แพ้ก็ชนะ ไปเลย และนับเป็นฤดูกาลแรกตามโครงการ 3 ปีสู่ถ้วยแชมป์ของ “แข้งเทพ” พร้อมกับคว้าตำแหน่งรองแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้อีกด้วย
ฤดูกาลต่อมา พวกเขายังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เมื่อสามารถ จบที่ 2 ของตารางคะแนนไทยลีก แต่ก็ยังไม่สามาถค้วาถ้วยแชมป์ใดๆมาประดับสโมสรได้
เช่นเดียวกับฤดูกาลปัจจุบันที่ “แข้งเทพ” หมดลุ้นทุกรายการไปแล้ว ซึ่งเป็นปีที่ 3 พอดีตามโครงการล่าถ้วยแชมป์ และมีแนวโน้มสูงว่า ปีนี้น่าจะเป็น ปีสุดท้ายของ “มาโน่ โพลกิ้ง” กับแข้งเทพ
“ถ้วยรางวัล” คือ ปัจจัยวัดความแตกต่างระหว่าง “โค้ชที่ดี” กับ “แชมป์เปี้ยน” แน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธในฝีไม้ลายมือการคุมทีมของ “มาโน่” แต่หลังจากจบ 5 ปีครึ่งกับสโมสรชั้นนำของประเทศแล้ว ยังไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลมาประดับไว้ในตู้โชว์ของสโมสรได้
บางทีคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลง…
และหากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง รับรองเลยว่า เจ้าตัว ยังอยากทำมาหากินในประเทศไทยต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลไทยลีกปีนี้ ชื่อของ มาโน่ โพลกิ้ง จะเป็นชื่อกุนซือที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในตลาดรอบนี้อย่างแน่นอน.
______________
ขอบคุณภาพ สโมสรฟุตบอลทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
By ใบไม้ห้าแฉก
ติดตามช่องทางข่าวสาร-เสนอแนะ ติชม และร่วมกิจกรรมสนุกๆ กับเราได้ที่…
Fb : www.facebook.com/dailysoccerthailand
Twitter : dailysoccer2017
IG : dailysoccerthailand
Line : @dailysoccerth
Website : http://dailysoccer.in.th