พิษสงขุนศึกเฒ่า 14 นัด 12 ตุง/เย็นยะเยือกในวัย 36 กระรัต

DST.Special Report : ย้อนกลับไป 200 กว่าปีที่แล้ว “บ้านค่าย” คือ ยุทธภูมิสำคัญที่ “พระเจ้าตาก” ใช้เป็นฐานที่มั่น ในการรุกตีหัวเมืองต่างๆ ในโซนตะวันออก

สืบเนื่องจาก “บ้านค่าย” นี้เป็นพื้นที่ทางเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ สามารถเลี้ยงคนและไพร่พลได้ดีกว่าในอาณาบริเวณใกล้เคียงกันอย่าง ชลบุรีหรือจันทบุรี

และด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย “พระเจ้าตาก” จึงเปลี่ยนความตั้งใจจากการพาผู้คนหนีตาย มาเป็นปักหลักสู้ เพื่อจะกลับไปกู้กรุงศรีอยุธยา

“บ้านค่าย” คือ ฐานที่มั่นสำคัญในประวัติศาสตร์ยุค “กู้กรุง” หากแต่กาลเวลาได้หมุนเอาอดีตไปจนทำให้คนอาจลืมเลือนไปบ้าง ทำให้อำเภอเล็กๆ ใน จ.ระยอง ไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก

หากแต่ว่า สำหรับคนที่นั่น ความทรงจำและเรื่องเล่าในอดีตยังคงเป็นความภาคภูมิใจมาจนบัดนี้ เช่นเดียวกับ “บ้านค่าย ยูไนเต็ด” จ่าฝูงไทยลีก 4 โซนตะวันออก

ครั้นกล่าวแต่เพียงชื่อ คนนอกพื้นที่หรือไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ อาจพอตั้งสมมุติฐานได้ว่า คำว่า “บ้านค่าย” นี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบราฆ่าฟันกันในสมัยโบราณกาล

ฉายา “ขุนศึกพระเจ้าตาก” ของ “บ้านค่าย ยูไนเต็ด” จึงเป็นอีกสิ่งยืนยันว่า พวกเขาภาคภูมิในรากเหง้าและถิ่นฐานตัวเอง

“บ้านค่าย ยูไนเต็ด” ไม่ใช่ทีมใหม่ แต่ก่อตั้งมาหลายปีแล้ว โลดแล่นอยู่ในลีกภูมิภาคฝั่งตะวันออก ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของ “เศรษฐา ปิตุเตชะ” พี่ชายนักการเมืองชื่อดังเมืองระยอง “สาธิต ปิตุเตชะ”

ปีก่อนขุนศึกของ “พระเจ้าตาก” ชนะสงครามในไทยลีก 4 ภาคตะวันออก ด้วยอันดับ 1 แต่ไม่ผ่านประตูเมืองชั้นสุดท้าย (รอบแชมเปี้ยนลีกส์) ซึ่งเป็นด่านสำคัญสู่การทะยานขึ้นไปเล่นไทยลีก 3

ขณะที่ปีนี้ ได้ “โค้ชลิง” วิมล จันทร์คำ มาทำหน้าที่ฝ่ายบุ๋น วางยุทธศาสตร์การสู้รบใหม่ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย มากกว่าการจบแค่แชมป์ไทยลีก 4 โซนรุ่งอรุณ แต่หยุดแค่นั้นเมื่อถึงรอบเพลย์ออฟ

การได้ “โค้ชลิง” ที่ผ่านการจัดทัพมาสารพัดทีมมาวางหมากกล ทำให้ “บ้านค่าย” ดูดุดัน รบแบบมีรูปแบบ หรือเรียกว่า เป็น “ระบบ” มากขึ้นกว่าเก่า

อีกจิ๊กซอว์สำคัญ คือ การดึง “จ่าโด้” ธาตรี สีหา ยอดกัปตันที่ดังเป็นพลุแตก สมัยอยู่กับ “สุภาพบุรุษกงจักร” อาร์มี ยูไนเต็ด มาเล่นในลีกล่างสุดของประเทศ

“ธาตรี” ในวัย 36 ปี ที่หลายคนอาจมองว่า ใกล้ฝั่งในฟุตบอลอาชีพ กับกลายเป็น “จอมทัพ” ที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในไทยลีก 4 ตอนนี้

ประสบการณ์ทีมชาติ การเล่นบนลีกสูงสุดกับอาร์มี ยูไนเต็ด และพระรองอย่าง “กูปรีอันตราย” ศรีสะเกษ เอฟซี และ “พญาไก่ชน” หนองบัว พิชญ เอฟซี เมื่อปีก่อน สามารถเป็นส่วนต่อขยายให้กับทีมเล็กๆ ในลีกล่างได้เป็นอย่างดี

ไม่ใช่แค่ “ฝีเท้า” ของ “ธาตรี” หรือโปรไฟล์ที่หยิบเอามาอ้างอิง แต่ผลลัพธ์มันเป็นที่ประจักษ์จากผลงาน 12 ประตู หลังจบเลกแรก

การหลุดเดี่ยวชิพบอลข้ามหัวผู้รักษาประตูในนัดล่าสุด กับกองเรือยุทธการ คือ ความเย็นยะเยือกของนักรบที่เจนจัดสมรภูมิมาเป็นอย่างดี

“จ่าโด้” มิได้เป็นเพียงต้นแบบในฝีเท้า หรือความฉูดฉาดให้กับ “บ้านค่าย” ในปีนี้ หากแต่ “ธาตรี สีหา” คือ ต้นแบบที่ดีด้านนอกสนามให้กับรุ่นน้อง

ไม่มีหยิ่งทะนง ไม่มีอีโก้ว่า ข้าคือ นักเตะเซเล็ป โปรไฟล์ยาวเหยียด มีแต่การแสดงให้เห็นว่า นักเตะวัย 36 ปี ยังสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับทีมบ้าง

และเมื่อคุณเป็นพี่ใหญ่ ต้องทำอย่างไรกับน้องๆ

“บ้านค่าย” อาจไม่ได้ออกสตาร์ทด้วยการยึดหัวหาดแต่แรก หลังน้องใหม่ไฟแรงย่านจันทบุรีอย่าง “เกาะขวาง เอฟซี” สปีดต้นได้ดีกว่า

แต่การมี “ธาตรี” และเพื่อนร่วมสนามรบ “จักรพงษ์ สมบูรณ์” อยู่ในกองทัพ มันก็ทำให้ขุนศึกอื่นๆ ในทีมได้เรียนรู้ว่า ใหญ่จริงต้องนิ่งเป็น ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เมื่อสงครามยังไม่จบอย่าริอาจนับศพทหาร

จากไล่ตาม 8 แต้ม เหลือ 2 แต้ม กระทั่งแซงม้วนเดียวในตอนจบ กลายเป็นแชมป์เลกแรก แข่ง 14 นัด ชนะ 10 เสมอ 2 และแพ้ 2

“ธาตรี” ขึ้นนำดาวซัลโวร่วมกับเทพเจ้ารากหญ้า “ฉัตรชัย นาควิจิตร” แห่งเกาะขวาง เอฟซี ด้วยจำนวน 12 ประตูเท่านั้น

ขณะที่บอลถ้วยพวกเขายังมีลุ้นสร้างเซอร์ไพร์สในรายการช้างเอฟเอคัพ กับ “ศรีสะเกษ เอฟซี” หลังปีก่อน “ขุนศึกพระเจ้าตาก” ทำได้มาแล้วหลังทะลุไปยันรอบ 16 ทีม

ส่วนปีนี้ พวกเขามี “ธาตรี สีหา” เป็นอาวุธหนัก ผสมกับระบบที่ลงตัวโดย “โค้ชลิง” มันจะไม่ปิดโอกาสในการฉายหนังม้วนเดิม

หาก “บ้านค่าย ยูไนเต็ด” เปรียบดังที่ตั้งกองทัพของ “พระเจ้าตาก” ที่ปักหลักกันอยู่ที่นี่เมื่อ 200 กว่าปีก่อน

การมา “บ้านค่าย ยูไนเต็ด” ของชายชื่อ “ธาตรี สีหา” คงไม่ต่าง “ผู้นำ” ที่ถูกดึงเข้ามาให้กองทัพแข็งแกร่งขึ้น คล้ายกับบ้านบางระจันที่ไปดึง “นายจันหนวดเขี้ยว” เข้ามานั่นแล.

เรียบเรียงโดย : วนิลลาสกาย
ขอบคุณภาพ : เพจ Bankhai United บ้านค่าย ยูไนเต็ด