• Home
  • Exclusive
  • จาก “บอลนักเรียน” ไร้ “เบสิค” สู่ลีกอาชีพ ที่ตั้งเป้า “กูปรี” เลื่อนชั้น

จาก “บอลนักเรียน” ไร้ “เบสิค” สู่ลีกอาชีพ ที่ตั้งเป้า “กูปรี” เลื่อนชั้น

By on February 18, 2019 0 1079 Views

DST.Exclusive  : ลีกพระรอง เริ่มระเบิดฟอร์ม ฤดูกาล 2019  ให้แฟนบอลได้ชมไปพรางก่อน ลีกพระเอกจะเปิดศึก ช่วงปลายเดือนนี้แล้ว

เชื่อว่าทีม ที่แฟนบอลเชียร์ แสดงฝีเท้าให้ประทับใจ และมาพร้อมกับการปรากฎโฉม “นักเตะฝีเท้าเข้าตา”

หนึ่งในนั้น​ทีมถิ่นอีสาน “กูปรีอันตราย – ศรีสะเกษ เอฟซี” ที่ทำผลงานได้พอประมาณ เพราะผลจากการเปลี่ยนนักเตะแทบยกทีม​

สำหรับขุนพลหน้าใหม่ แต่เป็นเลือดเก่าของ “ศรีสะเกษ เอฟซี” ที่น่าจับตา คือ “เจ้านิว – ประภาส รัตนดี” กองกลางตัวกลั่น แม้เขายังไม่มีโอกาสลงสนามวาดลวดลาย ใน2เกมแรก แต่ยังไงต้องตามดูกันยาวๆ

ก่อนหน้า “เจ้านิว” ย้ายกลับมาช่วยทีม ต้นกำเนิดในวงการลูกหนังอาชีพ เขาเคยค้าแข้งให้  ราชนาวี เอฟซี, ลำพูน วอริเออร์, ราชบุรี เอฟซี, พิจิตร เอฟซี , สุรินทร์ ซิตี้, ลูกอีสาน

และ “ศรีสะเกษฯ” ช่วงตั้งไข่ ตอนนั้น “เจ้านิว” ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมและเล่นบอลโรงเรียน

โอกาสที่เขาได้ ใครก็คิดว่า “สุดยอด” แต่ไม่ใช่เลย!!

เพราะก้าวย่างสู่ระบบอาชีพ เขาเคยถูกไล่ออกจากสนามใหญ่ ให้ไปขลุกกับ สนามเล็ก นานกว่า 6 เดือน

“ผมรู้จักฟุตบอลตอนอยู่ อนุบาล2 ผ่านการวิ่งแข่ง ใครวิ่งเร็วสุดจะถูกส่งไปแข่ง  ตอนนั้นผมวิ่งเร็วระดับหนึ่ง มีโอกาสได้เล่น พอลองแล้วติดใจ ได้เล่นสนุกกับเพื่อน แต่ไม่คิดว่าต้องไปไกลถึง ทีมชาติ เล่นลีกอาชีพ ผมเล่นบอลโรงเรียนแบบเด็กๆ ไม่มีโค้ช จนถึง ม.2 มีครูที่ทำทีมฟุตบอล ดึงตัวเข้าโรงเรียนกีฬาที่ จ.สุรินทร์ และที่นั่นทำให้ผมเริ่มจริงจัง ฝันอยากเป็นนักบอลอาชีพ” 

แต่แค่ความอยากยังไม่ใช่สิ่งที่พาเจ้านิวเข้าใกล้เส้นทางแห่งฝัน 

วันแรก ในโรงเรียนกีฬาที่ระบบซ้อมเข้มข้น โค้ชฟุตบอลบอกเขาว่า​ เอ็งไร้เบสิค และไล่ ไปฝึกหลักสูตรเร่งรัด กับทีมฟุตซอล 

และในสนามเล็กนั่นเอง  สร้างวิธีคิด การเอาตัวรอด ที่เป็นเคล็ดวิชาทีเด็ดเมื่อใช้ใน สนามหญ้า”  และทำให้เขากลับมาโดดเด่น จนได้รับบทบาท กัปตันทีมบอลเด็ก รุ่น16 ปี 

เหตุผลอะไรที่ทำให้ เจ้านิว เคี่ยวเข็นตัวเองได้ถึงขนาดนั้น สำหรับ แรงผลัก นั้น มาจากสิ่งนี้ 

ผมเข้าโรงเรียนกีฬาได้ เพราะ ครูชู แต่เขาไม่อยู่ดูผมประสบความสำเร็จ สัปดาเดียวที่ผมได้เรียน ท่านเสียชีวิต ผมจึงคิดตอบแทน ด้วยความทุ่มเท ฝึกซ้อม เพราะไม่อยากให้ครูผิดหวังและเมื่อครูได้เห็นผมจากบนฟ้า ผมอยากทำให้ท่านภูมิใจ

กว่า “เจ้านิว” จะสร้างความภูมิใจ ได้ด้วยการพาทีมโรงเรียนกีฬาสุรินทร์ แข่งรายการบอลนักเรียน ผ่านเข้ารอบระดับประเทศ ไปชิงแชมป์​ ที่แข่งใน จ.ภูเก็ต 

แต่เขากลับต้องมาแพ้ ความอ่อนล้าของตัวเอง จากสภาพอากาศฝนตกตลอด​ ความเหนื่อยจากการเดินทางด้วยรถบัส 2วัน1คืน กลายเป็นความล้า ที่ทำให้ “ทีมสุรินทร์” ไปไม่รอด และไม่ผ่านแม้แค่ “รอบแรก” 

แต่ด้วย เจ้านิว มีของ เกมที่พ่าย ไม่ได้หยุดเส้นทางควาฝัน จา ทีมสุรินทร์ เขาย้ายไปช่วยทีมโรงเรียนศรีสะเกษ ผ่านสังกัดโรงเรียนกันทรลักษ์ ที่เตรียมส่งเด็กแข่งรายการ ยูธ เอเอฟ คัพ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี  ทั้งที่เจ้านิวตอนนั้น อายุเพียง 16 ปี

รายการแข่งตอนนั้น มี 10 แมชต์ เหย้าเยือน ทีมผมแพ้หมด เพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อย ผมเองไม่เคยไปซ้อมกับทีม แต่แม้ผลงานทีมจะแพ้ แต่ทุกเกมผมทำเต็มที่ เพราะก่อนลงสนามโค้ชบอกว่าหากเล่นดี จะได้ทุนการศึกษาและเซ็นต์สัญญาเข้าสโมสรศรีสะเกษ ผมจึงตั้งเป้าหมายให้ตัวเองว่าต้องทำให้ได้” 

​เมื่อจุดเริ่ม ถูกเซ็ตไว้แต่ตั้น บทลงเอยจึง “ใช่”

แต่เป้าหมายตอนเด็ก ไปได้ไม่ไกล เพราะสนามแข่ง มีแค่ 11 ตัวจริง ด้วยความ “เจ้านิว” ยังกระดูกเบอร์อ่อน ทำให้ขวบแรกบนสนามหญ้า ไม่มีโอกาสได้วัดฝีเท้า 

 แต่นั่นไม่ทำให้เขาท้อถอย เพราะการได้ลงสนามซ้อมกับรุ่นพี่ คือ สิ่งกระตุ้นให้เขา “ทำมันให้ได้”

กับความพยายาม ของ “เจ้านิว” ไม่ส่งผลที่ศรีสะเกษ จนต้องย้ายตัวเอง ไป สุรินทร์ ซิตี้ และจากแมชต์แรกที่ได้โอกาสลงตัวจริง เขายังทำผลงานได้ไม่ดี 

แมชต์แรกผมลงแค่ครึ่งเดียว เพราะผมหมดแรง วิ่งพล่านไปทั่วสนามจนโค้ชเห็นว่าหมอนี่แรงหมด ตอนนั้นผมพึ่งรู้ว่า จากบอลนักเรียน สู่ ลีกอาชีพ ไม่ใช่ของง่าย จริงที่ฟอร์มเรายังสด แต่ลีกอาชีพเขาเล่นเป็นระบบ ของผมคือวิ่งมั่ว

จากอาชีพเกมแรก ที่เขาถูกส่งเป็น กองหน้าตัวเป้า เกมสองเขาถูกปรับตำแหน่ง เป็น กองกลาง เพื่อหัดคุมจังหวะ ซึ่ง “เจ้านิว” บอกว่าเป็นผลดี ที่ได้ฝึกคิด และมีสมาธิกับเกม กับบอลตลอดเวลา 

และจากปีนั้น (2013) ทีมสุรินทร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ คือ เกมในบ้านไม่แพ้ให้ใครเลย และจบอันดับ5 ของลีก

แม้เขาจะเป็นตัวทำเกม หนุนให้ทีมมีผลงานดี แต่เมื่อทางบอลต้องปรับ ทำให้ เขาต้องเปลี่ยน

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดในชีวิต และสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ก็เกิดกับ “เจ้านิว”  เขาบอกเป็นเหมือนฝันร้าย ที่ทำให้เขาแทบจะไปต่อกับ “ทางบอลอาชีพไม่ได้” 

“ผมป่วยเป็นวัณโรคปอด แค่เดินยังเหนื่อย และไม่มีสภาพของความเป็นนักกีฬา เลย ต้องรักษาตัวที่บ้านหลายเดือน ตอนนั้นผมคิดว่า คงจะหมดอนาคตแล้ว แต่ยังโชคดีที่ เจ้าเป็ด – เฉลิมศักดิ์​ อักขี เพื่อนสนิท ชวนไปคัดตัวที่ทีมพิจิตร เอฟซี ด้วยแรงผลักดันที่ผมอยากไปต่อ จึงตัดสินใจไปกับเพื่อน”

แม้ตัวเองจะป่วย และเดินทางแบบลูกทุ่ง นั่งรถไฟ ไปหัวลำโพง ต่อรถไปพิจิตร พอไปถึงอาการข้างเคียงของผลรักษา ทำให้เท้าบวมจนใส่รองเท้าคู่เก่งไม่ได้

แต่ด้วยใจสู้ และ ระลึกถึงคำสอนของ “ครูชู” ที่ว่า “ไม่มีอะไรจะเสีย โอกาสมาถึง ต้องสู้แบบไม่หันหลังกลับ” เขาจึงใช้พลังที่มี ลงทดสอบ และ “ผ่าน” มาได้แบบ ทางนี้พี่ของลิขิตเอง

และแม้จะผ่านบททดสอบ และ รักษาสุขภาพจนหายดี แต่ “วิถีฟุตบอล” ทำให้ “เจ้านิว” ต้องโยกย้ายไปอีกหลายสโมสร ทั้ง ราชบุรีเอฟซี , สุรินทร์ ซิตี้, ลำพูน วอร์ริเออร์ และ ราชนาวี ก่อนจะ ย้ายตัวเอง มารับใช้ สโมสรฟุตบอล ที่เป็นต้นกำเนิดของเส้นทางค้างแข้ง “ศรีสะเกษ เอฟซี” ในฤดูกาลล่าสุด

“ทุกสโมสรที่ผมได้อยู่ ผมประเมินตัวเองตลอด แม้บทบาทในสนามผมไม่โดดเด่น แต่ผมคิดเสมอว่า หน้าที่ของเราคือฝ่ายสนับสนุน เป็นฟันเฟืองที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ กับเป้าหมายที่ศรีสะเกษ เอฟซี คือ อยากช่วยทีมให้กลับขึ้นไทยลีกอีกสักครั้ง”

ตลอดชีวิตค้าแข้ง “เจ้านิว” ทำผลงาน ยิงประตู ไปทั้งหมด 6 ลูกถ้วน แม้จะอยู่ในระดับล่าง แต่เขาตั้งใจจะช่วยทีม กูปรีอันตราย ผ่านการยิงประตูคู่แข่ง สัก 2 ประตูในฤดูกาลนี้

สำหรับเยาวชนที่ตามหาเส้นทางแห่งฝัน “เจ้านิว” ฝากบอก ขอให้ทำทุกนาทีให้เต็มที่ ชีวิตเกิดมามีโอกาสทำตามฝันไม่กี่ครั้ง ดังนั้นความขยัน และตั้งใจ คือ เคล็ดลับจะพาไปสู่ความสำเร็จ

“โอกาสในสนามบางทีอาจมีไม่เยอะ บางคน 2-3 นาทีต้องถูกเปลี่ยนตัวออก ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ถูกส่งลงสนาม ต้องทำให้เต็มที่กับเกมที่อยู่ตรงหน้า”​​ เจ้านิว ฝากไว้ทิ้งท้าย.

By BlackSugar

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *