• Home
  • Exclusive
  • เชื่อ บ้า กล้าเปลี่ยน “ไมตรี กุหลาบขาว” มีวันนี้เพราะ “ข้าวสาร” กระสอบละ500บาท

เชื่อ บ้า กล้าเปลี่ยน “ไมตรี กุหลาบขาว” มีวันนี้เพราะ “ข้าวสาร” กระสอบละ500บาท

By on December 17, 2018 0 2038 Views

DST.Exclusive : ในวันนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ไมตรี หรือ “เล็ก” กุหลาบขาว  แนวรับตัวใหม่ของ “อินทรีอัคนี ไทย-ฮอนด้า เอฟซี” ในศึกไทยลีก2

เพราะสโมสรไทย-ฮอนด้า เอฟซี ได้เปิดตัวและ ชูให้เขา เป็นหนึ่งในนักเตะมากประสบการณ์ และ ภักดีกับต้นสังกัดมากที่สุดคนหนึ่ง

จนสายข่าวกีฬา ถึงกับตั้งฉายาไว้ว่า “มิสเตอร์วันคลับแมน” หมายถึง “บุรุษที่ภักดีกับสโมสรเพียงหนึ่งเดียว”

หากวันนั้น “บีบีซียู” ที่เขาสังกัดนานนับ 10 ปี ไม่ยุบทีมไปเสียก่อน เชื่อว่า  “ไมตรี” ยังคงโลดเล่นเป็นนักเตะที่ช่วยประคองทีมให้บรรลุเป้าหมาย

แต่เมื่อ “บีบีซียู” ไปไม่ถึงฝั่งฝันบนสนามฟุตบอลลีกไทย ทำให้ ถนนชีวิตของ “เจ้าเล็ก” ต้องปรับเปลี่ยน

ซึ่งจะว่าไป ถนนอาชีพฟุตบอลของ “เจ้าเล็ก”  มันก็มีจุดเริ่มจากการ “เปลี่ยน”​ และ “บ้า” พอสมควร

จากเด็ก จ.ยโสธร อ.มหาชัยชนะ ที่ฉายแววดาวรุ่ง เล่นบอลข้ามรุ่นตั้งแต่ ป.1โดยลีกสูงสุดที่เขาลงเล่น คือ “แมชต์ชิงแชมป์ระดับอำเภอ” 

แม้ทีมโรงเรียนจะชนะฝ่าไปถึงรอบจังหวัด แต่ความไม่พร้อมของโรงเรียนชนบท ทำให้ต้องยกสิทธิ์โรงเรียนอื่นไปชิงแชมป์รอบจังหวัดแทน

นี่คือ ความบ้า บทแรกที่ “เจ้าเล็ก” ต้องเจอ บ้าแบบไม่แฟร์!!!!

ส่วนความบ้า ที่กลายเป็นความ “กล้าเปลี่ยน”  จากแมชต์แชมป์ระดับอำเภอ คือ ยอมแลกตัวเองกับข้าวสารกระสอบเดียว เพื่อเข้าโรงเรียนฝึกฟุตบอล

“จากเกมชิงแชมป์อำเภอ มีอาจารย์ที่เขาสอนฟุตบอลโรงเรียนในเมืองตามหาผม ทั้งที่เขาไม่รู้จักผมส่วนตัว ก็ไล่ตามหาในหมู่บ้าน จนมาพบบ้านผม  ทีแรกเขามาคุยว่าให้ไปเรียนในเมือง ผมไม่คิดว่าจริง แถมยังนึกว่าเป็นแผนของแก็งค์จับเด็กเรียกค่าไถ่หรือเปล่า แต่เขามาคุยกับ ตา และยาย ฐานะผู้ปกครอง ดูทรงแล้วว่าไม่หลอกแน่ จึงลองไปดู โดยมีค่าใช้จ่าย ค่าเลี้ยงดู  เป็นข้าวสารเดือนละกระสอบ ราคาตอนนั้นกระสอบละ 500 บาท” 

จากวันนั้น “ด.ช.ไมตรี” จึงมีชื่อลงแข่งขันหลายรายการ เป็นตัวแทนระดับเทศบาลเข้าแข่งขันทั้งระดับภาคและระดับประเทศ จนแมวมองจาก “อัสสัมชัญ บางรัก” มาเห็น จึงได้ย้ายถิ่นฐาน เข้าเมืองที่ใหญ่กว่าอีกครั้ง

“ตอนแรกผมไม่ได้วางเป้าหมายอะไรไว้เลย แค่คิดว่าได้แข่งหลายรายการ มาเล่นในกรุงเทพ ก็ดีใจแล้ว แต่พอได้เข้ามาจริง ความฝันผมโตขึ้น คือ อยากติดทีมชาติ อยากไปเล่นฟุตบอลในสนามศุภชลาศัย” 

และในวัย 19 ปีนั้นเอง เขาฉายแววจนเข้าตา “โค้ชทีมชาติชุดเล็ก” ดึงไปติดช้างศึกจูเนียร์รุ่น 19 ปี รุ่นเดียวกัน “เจ้าตอง – กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์”  และ “ธีราธร บุญมาทัน”

ซึ่ง “ไมตรี” ทำเป้าหมายชีวิตได้สำเร็จ แต่ไม่สุด เพราะอดรวมทัพช้างศึกชุดเล็ก ไปชิงแชมป์ หลังบู๊ในสนาม จนแขนหัก

“ผมไม่คิดอะไรมากนะตอนนั้น ขอรักษาตัวเองให้หาย และกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีก  แต่จากนั้นจนถึงเรียนจบ ม.6 โอกาสรอบสองยังไม่เกิดขึ้น”

เมื่อ วันร้ายเกิด เขายังเชื่อว่า วันที่ดี ต้องมีเช่นกัน

กับโอกาสรอบสองของเขาที่รอคอย ได้เป็นจริง หลังจาก จบ ม.6 และได้รับโควค้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ทางเลือกของฟุตบอลเพิ่มมากขึ้น

และทำให้เขารู้ว่า เมื่อปักใจกับสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งอื่นใด

“ที่จุฬา เป็นสังคมที่ดีมากๆ อยู่แล้วมีความสุข ผมไม่คิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรกับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า ผมเข้าสังกัดทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ที่ส่งแข่งในลีกอาชีพ จุฬา ยูไนเต็ด อยู่จนเขาเปลี่ยนเชื่อเป็น บีบีซียู แม้มีหลายทีมดังๆ ชวนผมไปเล่นให้เขา ผมไม่เคยคิดจะย้ายทีมสักครั้ง จนทีมยุบนั่นแหละครับ ผมจึงจำเป็นต้องหาทางไปต่อ”

กับสิ่งที่ “เด็กบ้านนอก​” ยอมแลกความคุ้นเคย ด้วยการ “ออกจากบ้าน” เพื่อตามความฝัน หลายคนอาจจะคิดว่า “บ้าดีเดือด” 

ซึ่ง “ไมตรี” ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เขายอมให้ชะตานั้นพาไป ส่วนจะเจอสิ่งเลวราย หรือ ความประทับใจ เป็นตัวเขาเองที่กำหนด

“ตอนเข้าเมืองแรกๆ ผมใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อแข่งขันกับคนเก่งๆ โค้ชบอกให้วิ่งแค่ไหน ผมใส่ไปเต็มร้อย วิธีไหนที่จะทำให้ผมพัฒนาผมลุยเข้าใส่ไม่ยั้ง  เพราะผมมองว่าฟุตบอลแม้จะมีประสบการณ์มากก็จริง หากหยุดพัฒนาแล้ว ก็เหมือนคนที่รอวันตาย และยิ่งสมัยนี้ที่ฟุตบอลแข่งขันกันสูง ต้องยิ่งพยายามให้หนักกว่าเก่า”

เชื่อหรือไม่ ในช่วงเริ่มแรกของ “แมชต์อาชีพ” ที่ จุฬา ยูไนเต็ด  เขาแทบไม่เคยเหยียบสนามแข่งขัน เพราะด้วยความอ่อนประสบการณ์

แต่เมื่อครั้งแรกที่เขาได้ลงแข่งขัน เขาฝ่าคำสบประมาทคน ด้วยการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์มาครอง

และนั่นทำให้ “เจ้าเล็ก” ฐานะผู้เล่นแนวรับ คิดอยู่เสมอว่า เมื่อวันร้ายๆ มีเข้ามา วันที่ดี ต้องผ่านมาบ้างสักวัน และสิ่งนั้นเขาจะเป็นคนกำหนดขึ้นเอง

“ผมเคยผ่านจุดตกต่ำที่สุดของอาชีพ คือตอนบีบีซียู เลิกทำทีมฟุตบอล ตอนนั้นผมถึงขั้นไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาว่าขอได้ตามอธิษฐานย่านปากเกร็ดให้เขายังทำทีมต่อ แต่ก็ไม่เป็นจริง แต่เอาจริงผมว่าจุดนั้นมันไม่ได้แย่ที่สุด ที่ผมจะฝ่าฟันไม่ได้ ผมมีทัศนคติเป็นบวกกับความเลวร้ายที่เจอ  ได้กำลังใจจากครอบครัว จึงมองว่าก็ไม่ได้แย่ตลอดไปนะ ที่สำคัญบางครั้งอาจจะท้อ อยากจะหนีกลับบ้าน แต่มาคิดจุดหนึ่งว่าชีวิตมันต้องลุย จึงไม่ยอมถอย” 

กับความประทับใจอย่างหนึ่งของ “เจ้าเล็ก” เขาบอกว่า เกิดขึ้นสมัยสังกัด “ตรัง เอฟซี” ในฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ผลรวมของทีม เสียประตูน้อยสุดของทีมในลีก คือ 16 ประตู 

แม้เขาว่าจะไม่ใช่ผลงานของเขาคนเดียว แค่นั่นคือความประทับใจที่ทุกคนในทีมรวมกำลังให้สถิตินั้น ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสโมสรฯ

และในทีมใหม่ “ไทย – ฮอนด้า เอฟซี” ที่เขาเข้าสังกัดเป็นผู้เล่น ฤดูกาล 2019 แน่นอนว่า ต้องช่วยทีมให้บรรลุเป้าหมาย ที่วางไว้ว่า ติด TOP5 ของไทยลีก2 

กับบทบาท “เจ้าเล็ก” ในทีมอาชีพแห่งใหม่ จะลบฉายา มิสเตอร์วันคลับแมน ไปแล้ว แต่สิ่งที่ DST. สัมผัสได้จากสิ่งที่เขาบอก คือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจ 

และในวันที่น้องๆ กำลังไต่บันไดหาฝัน ซึ่งอาจเจอขวากหนาม อยากให้จำประโยคจาก “ไมตรี กุหลาบขาว” ที่ว่า “ไม่ว่าวันนี้คุณจะเดินหน้า หรือถอยหลัง อย่าลืมพัฒนา ฝีกฝนตัวเอง คนเก่งอาจจะมีเยอะก็จริง แต่ใจคือสิ่งสำคัญที่สุด ขอแค่ใจสู้ ทุกอย่างจะกลายเป็นความสำเร็จ”


ขอบคุณ สโมสรไทย ฮอนด้า เอฟซี

By BlackSugar

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *