ฟุตบอลคืออาชีพในฝัน “แมน-วัชรกร” แต่มันเกือบพัง เพราะเขาไม่เห็นค่า
DST.Exclusive : ช่วงนี้ “ไทยลีก” ใกล้เข้าสู่ฤดูพรีซีซั่น ซึ่ง แฟนบอล จะพบกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งตัวเก่า ถูกสลับออก มีตัวใหม่มาประลองสนาม
กับ “สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ก็เช่นกัน แม้จะได้ชื่อว่าเป็น “เบอร์หนึ่งไทยลีก” แต่ “บิ๊กเน – เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่หยุดที่จะเฟ้นหา เพชรเม็ดงาม มาประดับวงการฟุตบอลอาชีพ
และหนึ่งในนั้น ที่ถูก “ปราสาทสายฟ้า” ควานเจอ คือ “เจ้าแมน – วัชรกร มะโนวร” นักเตะสารพัดประโยชน์จาก “ลำปาง เอฟซี” ทีมในลีกพระรอง
พร้อมมอบสัญญา 3 ปีให้กับ “เจ้าหนูคนนี้” แต่ภายใต้สังกัด “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ยังไม่ชัดว่า เขาจะรั้งผู้เล่นส่วนไหนของ “ทีม”
แต่นาทีนี้ เมื่อคนระดับ “เนวิน ชิดชอบ” เลือก “เจ้าแมน” เข้าร่วมสังกัด เจ้าหนูคนนี้ คงมีสิ่งที่ “ไม่ธรรมดา”
เชื่อหรือไม่…. กับบนเส้นทาง “ฟุตบอลอาชีพ” เคยถูก 6 สโมสรปฏิเสธ
ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งอ่อนประสบการณ์ , ไม่อยู่ในแผน, ทางบอลไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ “เจ้าแมน” ยืนหยัดบนเส้นทางสายนี้ได้อย่างมั่นคง คือ “ความแข็งแกร่งของหัวใจ”
“ผมเป็นเด็กเชียงราย เล่นบอลเพราะชอบ ตอนเด็กไม่เคยคิดว่าเราเก่ง แต่ตอนอายุ 15 ปี มีทีมชาติเขามาคัดเด็กโซนภาคเหนือ เพื่อไปเล่นรายการซานิคคัพ ที่ประเทศญี่ปุ่น ผมกับเพื่อนลองไปทดสอบ แบบไม่คาดหวัง เพราะอยากได้ประสบการณ์มากกว่า”
แต่จากสิ่งที่ไม่เคยคาดหวัง กลับกลายเป็น “โปรเจ็คใหญ่” ที่ “เด็กบ้านนอก” มีชื่อคิดทีมชาติ และเดินทางไกล เพื่อแข่งบอลเป็นครั้งแรก
“ครั้งแรกในชีวิตที่ติดทีมชาติผมตื่นเต้นมาก แต่ที่ตื่นเต้นไปมากกว่านั้น คือ พอผมกลับมา ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด เรียกให้ผมไปเซ็นต์สัญญา ผมคิดว่านี่คือก้าวที่เข้าใกล้นักฟุตบอลอาชีพอย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว”
แต่เพียงแค่เซ็นต์สัญญา ในมุมมองของ “เด็กน้อย” ยังไม่ใช่ทางเดินที่แท้จริง
เพราะในปีแรกเขายังเป็นเพียง “คู่ซ้อม” ให้กับทีมชุดใหญ่ เวลาอยู่กับทีมส่วนมากคือ เด็กเก็บบอลข้างสนาม และ ยกของตอนทีมเลิกซ้อม
และในที่สุด “เจ้าแมน” ไม่ได้ไปต่อกับเชียงราย หลังอยู่มา 1 ปี เพราะด้วยอยู่ในวัยเรียน มีเวลาซ้อมแค่ช่วงหลังเรียน ทำให้เขาไปซ้อมกับทีมได้ไม่เต็มที่ “โค้ช” ตัดชื่อออกในที่สุด
เมื่อทางฝัน ถูกตั้งเป้า คือ “ฟุตบอลอาชีพ” เจ้าแมนจึงเปลี่ยนทาง มาหาโอกาสใหม่ที่กรุงเทพ ผ่าน อะคาเดมี่ทีมเพื่อนตำรวจ และเล่นให้กับ ทีมลูกอีสาน แต่ความฝันเกือบจะกลายเป็นจริง หาก “ทีมที่สังกัดไม่ถูกยุบ”
ในวัย 19 ปี เขากลับมาเชียงรายอีกครั้ง แต่รอบนั้น เขาถูกส่งตัวไป “ทีมน่าน เอฟซี” พันธมิตรของทีมเชียงราย
เหมือนจะไปได้ดี เพราะ “เจ้าแมน” ได้ลงเล่นทุกนัด แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์เจอ “บอลรุ่นใหญ่” ทำให้ไปไม่เป็น
“ผมกดดัน กับเกมเพราะน่าน ใช้เด็กทั้งชุด พอเจอกับคู่แข่ง ที่โหดๆ จัดเต็มใส่ ทำให้ผลแข่งขันเป็นฝ่ายแพ้ ตอนแรกผมกลัวมาก แต่ถึงนาทีต้องลงสนาม ผมบอกกับตัวเองว่า นี่คือ สนามรบ ต้องพร้อม ต้องสู้ หากไม่สู้ คือ ตาย และไปต่อไม่ได้”
หลังอยู่รับใช้ “น่าน เอฟซี” 1 ฤดูกาล เขาโยกกลับมา “เชียงราย” อีกครั้ง เพื่อไปเล่นรายการ “โค้ก คัพ” ซึ่งปีนั้นด้วยผลงานของทีม ทำให้เชียงราย เป็นแชมป์ภาคเหนือ เข้าสู่รอบประเทศ
แม้ผลงานจะไม่ผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ “เด็กเชียงราย” คนนี้ สามารถพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้ง ว่า “เขาทำได้”
แต่เมื่อ “ฟุตบอล” ต้องพัฒนาตามกระแสฮอต ฮิต ทำให้ “เจ้าแมน” แม้จะพิสูจน์ตัวเองมากแค่ไหน แต่เมื่อ “โค้ช” บอกว่า ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในแผนการเล่น ต้องยอมรับชะตากรรม เขาถูกส่งตัวไป “ลำปาง เอฟซี” ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับ “เชียงราย” และต้องเผชิญกับความ “ช็อค”
“หลังผมไปเล่นให้ทีมลำปาง เอฟซี กลับมาเชียงราย แต่ไม่ทันได้ทำอะไร ผมถูกบอกยกเลิกสัญญา ทำให้ผมตัดสินใจออกตามหาทางของตัวเอง ลองไป คัดตัวที่ ทีมเชียงใหม่ กับ แพร่ ยูไนเต็ด และเป็น แพร่ ที่รับผม แต่ผมอยู่ได้ปีเดียวถูกยกเลิกสัญญา ตอนนั้นผมเครียดมาก คนที่บ้านบอกกลับมาอยู่เชียงราย หางานอย่างอื่นทำดีกว่า แต่ผมอยากพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง จึงเดินสายไปคัดตัว ทั้ง อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด, อ่างทอง เอฟซี, อยุธยา ยูไนเต็ด แต่ไม่มีใครเอาผม”
แต่อย่างที่บอกไป ว่า “หัวใจผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา” เขาจึงขอกลับเข้าทีม “ลำปาง เอฟซี” อีกครั้ง แม้ตำแหน่งผู้เล่นจะเต็ม แต่ขอแค่ให้มีที่ซ้อม เพื่อให้สภาพร่างกายพร้อมสำหรับก้าวต่อไป
แต่เหมือน “ชะตา” เบื่อกับการ “เล่นตลกในชีวิตเขา” ในช่วงพรีซีซั่น ซึ่งลำปางมีแมตช์อุ่นเครื่องเขาถูกเรียกลงสนาม และพิสูจน์ตัวเองจนได้เป็น “คนที่ถูกเลือก”
ทำให้ฤดูกาล 2018 “รถม้ามรกต” ได้ของดี และช่วงพาทีมประสบความสำเร็จได้ไม่น้อย
และสิ่งที่ “เจ้าแมน” ได้เป็นบทเรียนสอนใจ คือ อุปสรรคคือบททดสอบ หากไม่พยายาม ไม่สู้ คงไม่มีวันนี้
และอีกมุมคิดที่เขาได้เรียนรู้ ผ่านการ “ดิ้นรน” เพื่อหาทางไปให้กับตัวเอง คือ
“ตอนเด็ก ผมคิดว่าขอให้สู้ให้ได้ก็พอ แม้จะเป็นเด็ก แต่เมื่อต้องฝ่าฟันทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมบอกกับตัวเองว่า ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ในสนามทุกคนมีวุฒิภาวะเท่ากัน ผมจึงถีบตัวเองออกจากกะลา เพื่อให้ตัวเองไปต่อได้ไกลกว่านี้”
แต่เหมือนจะดี แต่ “เจ้าแมน” ยังเจอบทพิสูจน์ที่หนักหนาสาหัส
“ตำแหน่งผมจริงๆ คือ ปีก และ กองหลัง แต่วันที่ได้ลงสนามครั้งแรกของลำปาง ผมถูกส่งให้ไปเล่นกองกลาง ไม่เคยแม้แต่จะซ้อม แต่ผมคิดว่าเล่นไปตามสัญชาตญาณ บอลไปทางไหน ตามไปตรงนั้น ให้มีส่วนร่วมกับเกมให้ตลอด วิ่งต่อเนื่อง และหลังจบเกม ผมนั่งถูกเทปแข่งย้อนหลัง แม้จะทำไม่ดี แต่ผมเก็บข้อผิดพลาดมาแก้ไข”
แล้วตรงไหน คือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ “สโมสรยักษ์ใหญ่ในไทยลีก” เห็นคุณค่า
จำได้ไหม ในรายการ “ช้าง เอฟเอคัพ 2018” รอบ 32 ทีม ที่ “ปราสาทสายฟ้า” เปิดบ้านโม่แข้งกับ “รถม้ามรกต” แม้ผลแข่งขันเจ้าบ้านจะยำเละ 6:0
แต่สำหรับ “เจ้าแมน” คือ การได้รับรางวัลแห่งความภูมิใจ
“หลังจบเกมนายเนวิน เรียกผมไปหา บอกกับผมว่า หากจบฤดูกาลแล้ว และยังรักษามาตรฐานการเล่นทุกแมตช์เหมือนเกมวันนี้ และเล่นให้ดี อย่างสม่ำเสมอ ต้องเล่นให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ปีหน้าอาจจะไปบุรีรัมย์ และนายเนวินถามผมต่อว่า อยากไปหรือเปล่า ผมตอบโดยไม่ลังเลว่า อยากครับ”
และหลังจากวันนั้น ทำให้ “เจ้าแมน” มีวันนี้ แม้เส้นทางอาชีพที่ผ่านมา จะเคยถูก “สโมสรอาชีพ” ถึง 6 ที่ “ปฏิเสธ” แต่หากมองกลับกัน สิ่งเหล่านั้น เหมือนเป็นบททดสอบ
“ผมไม่เชื่อตัวเองว่าจะมีโอกาสมาอยู่ในทีม ที่ตอนเด็กเราได้แต่นั่งมองว่า ทีมนี้เจ๋งมาก และไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ กับก้าวต่อไปของผม ผมไม่หวังไกลว่าต้องอยู่ใน 11 ผู้เล่นชุดใหญ่ แต่สิ่งที่ผมจะทำเพื่อทีม คือ เต็มที่กับทุกๆ โอกาสที่ได้รับต่อจากนี้”
กับ “ความฝัน” ทุกคนก็มีกันได้ แต่เส้นทางแห่งฝันอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
จงดูเส้นทางชีวิตของ “เจ้าแมน” เป็นแบบอย่าง ขอแค่ไม่หยุดความตั้งใจ แม้จะเจอหลากหลายอุปสรรค สักวัน ความฝัน จะกลายเป็นจริง.
ขอบคุณ สโมสรฟุตบอลลำปางเอฟซี, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
By BlackSugar