• Home
  • Special Report
  • สถิติโค้ชไทย ‘เมืองทอง’ ดีกว่า ‘โค้ชต่างชาติ’

สถิติโค้ชไทย ‘เมืองทอง’ ดีกว่า ‘โค้ชต่างชาติ’

By on November 9, 2018 0 1508 Views

 

DST.Special Report : เซอร์ไพร์สพอสมควร หลัง “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ร้างลาโทรฟี่มาสักระยะ ทำได้เพียงคว้าอันดับ 4 ปีก่อน จะแต่งตั้ง “โค้ชเบ๊” ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก อดีตเฮดโค้ชสุพรรณบุรี เอฟซี และสุโขทัย เอฟซี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มากุมบังเหียนสู้ศึกในฤดูกาล 2019

แน่นอนมันดูแปลกหูแปลกตาไม่น้อย เพราะเส้นทางการคุมทีมของ “โค้ชเบ๊” ที่ผ่านมา มักจะคุมทีมระดับกลาง ระดับเล็ก หนีไปทาง “ทีมหนีตาย” เสียเป็นส่วนใหญ่

แต่คราวนี้กลับได้คุมทีมอย่าง “เมืองทอง” ทีมใหญ่ที่เป้าหมายแต่ละปีคือ “คว้าแชมป์” มันจึงชวนให้เกิดข้อสงสัยว่า ผู้บริหาร “กิเลนผยอง” กำลังคิดอะไรกันแน่

“ถังแตก” หรือ “ไม่มีตัวเลือก” คือ คำถามของแฟนบอล ทว่า ลองพลิกประวัติ “กุนซือ” เมืองทองฯ นับตั้งแต่ขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกในปี 2552 จะพบว่า บรรดา “โค้ชไทย” ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมามีผลงานได้ไม่ขี้เหร่กว่า “โค้ชต่างชาติ” โปรไฟล์หนา เลย

โดยแชมป์ลีกสูงสุด 4 สมัยของ “เมืองทอง” พบว่า ในปี 2552 คนที่ทำให้ทัพ “กิเลนผยอง” เป็นแชมป์คือ ขงเบ้งชาวไทยอย่าง “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษบาคม กุนซือมันสมองผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นเฮดโค้ชชาวไทยที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลบ้านเรา

ขณะที่แชมป์ไทยลีกสมัย 2 ของ “เมืองทอง” ในฤดูกาล 2553 ซึ่งเป็นแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน เป็นผลงานของ “เรเน่ เดอซาเยียร์” โค้ชชาวเบลเยี่ยม ซึ่งมีโปรไฟล์หรู เคยคว้าโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีของ “เคลีก” มาแล้ว

ทว่า ปีที่สวยงามของ “เรเน่” มันช่างแสนสั้น อีกปีถัดมา “เมืองทอง” ได้แยกทางกับกุนซือชาวเบลเยี่ยม และแต่งตั้ง “คาร์ลอส โรเบิร์ต เดอ คาวัญโญ่” ชาวบราซิลเลี่ยน แต่คุมได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีการแต่งตั้ง “เฮ็นริเก คาลิสโต” กุนซือเลือดโปรตุกีส

แต่เหมือนทำอย่างไรก็ไม่กระเตื้อง โดยในปีเดียวกัน “เมืองทอง” สร้างความฮือฮาด้วยการดึง “ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์” ก๊อดแห่งสาวเรดแมชชีน มาร่วมทีม ก่อนจะขยับขยายให้ควบอีกตำแหน่งคือ “ผู้จัดการทีม” กระนั้น ความสำเร็จในปีดังกล่าวกลับไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่เป็นเพียง “กระแส” ทางการตลาดเท่านั้น

หลังจากห่างหายความสำเร็จ ในปี 2555 “เมืองทอง” หมายมั่นปั้นมือจะทวงคืนโทรฟี่ ทุ่มงบประมาณมหาศาลหลังจากได้กลุ่มทันใหญ่มาสนับสนุน พร้อมตั้ง “สลาวิซ่า โยคาโนวิช” หรือ “ยอคก้า” เฮดโค้ชโปรไฟล์โคตรหรูมาคุม ปรากฏว่า ทีนี้พวกเขาเลือกถูก “กิเลนผยอง” กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งแบบ “ไร้พ่าย”

ดูเหมือนปีทองของโค้ชชาวต่างชาติของทีมดังย่านปากเกร็ดจะเป็นอาถรรพ์ อีกปีถัดมา “ยอคก้า” ทำผลงานไม่ดี ตกรอบแรกเอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมเสียจ่าฝูงให้ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” จึงไปดึง “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทยชาวเยอรมันมา แต่เหมือนแวะมาเที่ยว คุมได้เดือนเดียวก็ประกาศลาออก ก่อนที่ “เมืองทอง” จะไปดึง “เรเน่” กลับมาคุมทัพอีกครั้งที่สอง และแยกทางในที่สุด

ปี 2557 เมืองทองยังเชื่อมือกุนซือต่างชาติ พวกเขาไปดึง “สกอต คูเปอร์” ผู้เคยคุมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาคุมทัพ แต่ยังทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันก็ลาออก แล้วตั้งโค้ชพล ชมชื่น ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน รักษาการแทนไปพลางๆ ก่อนจะมีการแต่งตั้ง “ดราแกน ทาลายิช” กุนซือชาวโครเอเชีย มาคุมทีม

แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เหมือนพวกเขาจะไว้ใจกุนซือเลือดโครแอต ให้คุมทีมตั้งแต่ปี 2558 – 2559 กระทั่งผลงานมาถึงทางตันจึงแยกทาง โดย “ทาลายิช” เป็นกุนซือที่ทำลายสถิติคุมทีมนานสุดของเมืองทอง 2 ปี 49 วัน

“เมืองทอง” กลับมาเมียงมองกุนซือชาวไทยอีกครั้ง โดยดึง “เดอะแบน” ธชตะวัน ศรีปาน จากเพื่อนตำรวจมาคุมทีม และเป็นอดีตกองกลางทีมชาติไทยที่พาโทรฟี่กลับสู่ “เอสซีจี สเตเดี้ยม” ได้สำเร็จ เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 4 ได้สำเร็จ พร้อมยังกวาดดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลถ้วยอย่าง “โตโยต้า ลีก คัพ” มาครองอีก

ในปีถัดมา “โค้ชแบน” ยังทำทีมต่อ แต่ไม่สามารถป้องกันแชมป์จากคู่แข่งตลอดกาล “บุรีรัมย์” ได้ พวกเขามีถ้วย “โตโยต้า ลีก คัพ” ไปปลอบใจเท่านั้น

กระทั่งในปีถัดมาผลงานของเมืองทองฯ ออกอ่าวออกทะเลไปไกล แพ้ยับเยินตั้งแต่ต้นฤดูกาล ที่สุดจึงตัดสินใจแยกทางกับ “โค้ชแบน” แล้วให้สันติ ไชยเผือก ขัดตาทัพ ก่อนจะดึง “ราโดวาน เคอร์ซิช” เฮดโค้ชเซอร์เบียร์มาคุม แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังมือเปล่า เมื่อจบฤดูกาลแบบไม่ได้อะไร จึงแยกทางกันไปอีกคน

สรุปแล้วแชมป์ไทยลีก 4 สมัย ที่ “เมืองทอง” ทำได้ เกิดขึ้นจากฝีมือ “โค้ชไทย” และ “โค้ชต่างชาติ” อย่างละ 2 ครั้ง โดยโค้ชชาวไทย 2 คนที่มาคุมทีมแบบเป็นทางการ ไม่ใช่ขัดตาทัพ คือ “โค้ชแต๊ก” และ “โค้ชแบน” ต่างได้โทรฟี่นี้มาทั้งคู่

แล้วโค้ชชาวไทยคนที่ 3 แบบเป็นทางการ (ไม่ใช่รักษาการ) อย่าง “โค้ชเบ๊” ล่ะ จะเป็นคนไทยคนที่ 3 ที่พาเมืองทองฯ ทวงคืนความเป็นหนึ่งในลีกสยามได้หรือไม่ก็น่าชม

หรือจะเป็นแค่ “โฮมสเตย์” แล้วก็ไป ต้องติดตาม.

 


เรียบเรียงโดย : วนิลลา สกาย
ขอบคุณภาพ : เพจสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *